วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บึงฉวาก

บึงฉวาก คำว่าฉวากไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร ถ้าอยากทราบเชิญไปหาความรู้ได้

































































































บึงฉวากได้รับการพัฒนามาจากที่รกร้างและให้เป็นสถานที่ท่งเที่ยวแบบธรรมชาติผสมผสานกับความรู้แบบทดลอง หรือวิทยาศาสตร์ ต้องขอขอบคุณท่านที่ริเริ่มดำเนินการซึ่งโดยส่วนตัวเราไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์แท้จริงคือลูกหลานของชาวชนบท การจัดสวนน้ำแสดงพันธ์ปลาต่างๆ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มหายากมากตามชนบท เยาวชนต้องไปเรียนรู้พื้นที่ไกลๆ ลูกหลานชาวบ้านจังหวัดสุพรรณ ชัยนาท นครสวรรค์ และอีกหลายจังหวัดได้รับประโยชน์มากจริงๆ ส่วนคนกรุ่งเทพก็ได้ที่พักผ่อนหย่อนใจช่วงวันหยุดพาลูกหลานไปชม ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตรเห็นจะได้ ถือว่าคนริเริ่มทำเรื่องดีอย่างนี้คือคนที่ รักชาติตัวจริง





วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประสบการณ์ปฏิบัติกรรมฐาน

ประสบการณ์ปฏิบัติกรรมฐาน

เมื่อวันที่ 1-15 เมษายน 2549 ได้เข้าอบรมปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดเขาสุกิม และวัดเขาบรรจบ จังหวัดจันทบุรี วัดละ 7 วัน โดยมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ พระธรรมวิสุทธิกวี เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวรวิหาร เป็นพระอาจารย์สอนปฏิบัติกรรมฐาน


พระธรรมวิสุทธิกวี

ในการอบรมครั้งนี้มีทั้งพระภิกษุ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ประมาณ 2 คันรถบัส ช่วงแรกพระอาจารย์นำไปฝึกขั้นเริ่มต้นที่วัดเขาสุกิมก่อนเป้นแห่งแรก บรรดาอุบาสกอุบาสิกาทุกคนต้องนุ่งขาวห่มขาว(ไม่ปลงผม) สมาทานศีล 8 กิจวัตรประจำวันคือ ตอนเช้าทำวัตรสวดมนต์และทำสมาธิ เดินจงกรมเวลา 04.00 น.ถึง 06.00น. จากนั้นร่วมกันทำบูญตักบาตรและสมาทานศ๊ล เสร็จแล้วฟังบรรยายจากพระอาจารย์และทำสมาธิจนถึงเวลาเพล ร่วมกันถวายภัตตาหารเพลเสร็จแล้วรับประทานอาหาร บ่ายโมงเข้าฟังบรรยายและทำสมาธิถึงเวลา 17.00 น.พักผ่อนอิริยาบถ เวลา 19.00น.ทำวัตรเย็นฟังบรรยายและทำสมาธิเดินจงกรมจนถึงเวลา 23.00น.เข้าพักผ่อน



























เมื่อครบกำหนด 7 วันแล้วทั้งพระและโยมย้ายจากวัดเขาสุกิมมุ่งหน้าสู่วัดเขาบรรจบซึ่งเป็นวัดที่มีพื้นที่เป็นป่าเขาอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ ใหญ่น้อย สัตว์ต่างๆมากมาย เช่น งู เงียบสงบมาก(วังเวง) ข้างวัดมีลำธารที่มีโขดหินใหญ่น้อยมากมายเวลาน้ำไหลกระทบหินเสียงดัง ซู่ซ่า บนไปมากับความเงียบสงบ(บาดใจดีจริง) กิจวัตรประจำวันที่วัดเขาบรรจบจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแต่การปฎิบัติจะเข้มข้นมากขึ้น การพักอาศัยต้องอยู่ที่กรด หรือเต้นของตนเองห้ามพูดคุย เน้นด้านวิปัสนากรรมฐาน








คำสอนจากเจ้าคุณอาจารย์บางส่วน

การฝึกสมาธิด้วยวิธีอาปานสติ(กำหนดลมหายใจ)

ก่อนทำสมาธิด้วยวิธีอาปาณสติ คือการใช้ลมหายใจเป็นอุปกรณ์เพื่อให้จิตสงบ ขณะนั่งใช้ขาขวาทับขาซ้าย ใช้มือขวาทับมือซ้าย วางไว้ระหว่างตัก ทำตัวให้ตรง ไม่ต้องเก็ง ให้นังตามสบายมากที่สุด





จากนั้นให้ทดลองหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ และทดลองหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น และหายใจเข้าปกติ หายใจออกปกติเพื่อทำการทดสอบท่านเปรียบเหมือนช่างเย็บผ้าก่อนจะทำการเย็บต้องทดลองจักรดูว่าเหมาะกับเท้าของตนหรือไม่
จากนั้นก็ทำจิตใจให้สบายยกลมหายใจของตนเข้าสู่จะมูกและลองตามลมดูว่าเข้าปลายลมถึงจมูก ถึงอก ถึงสะดือและก็ตามลมออกมาทดลองเพื่อปรับร่างกาย แต่เมื่อถึงเวลาจริงการทำสมาธิแล้วไม่ต้องตามลม ให้กำหนดรู้ว่า
หายใจเข้าภาวนาในใจว่า "พุทธ" หายใจออกก็ภาวนาว่า


"โธ" กำหนดสติให้รู้สึกตัวอยู่เสมอและอย่าส่งจิตออกไปภายนอก หากจิตออกไปก็ใช้สติดึงกลับมา ถ้าพบว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิ กำหนดเห็นว่าลมหายใจเบาลง ร่างกายเบา ละเอียดมากขึ้นจนไม่สามารถกำหนดรู้ลมได้แล้ว ก็เพียงกำหนดรับรู้ว่ามีลมเข้าออกไว้ก็พอจากนั้นให้ไปดูที่จิตให้นิ่งก็พอแล้ววางอารมณ์ข้างนอก และดูข้างใน




เมื่อจิตนิ่ง อาจจะมีจิตเกิดวิตกขุ่นข้องขัดเคือง ก็ใช้จิตวิจารณ์วิเคราะห์ให้เห็นที่ถูกต้อง จนเกิความถูกต้องเป็นความดีใจที่เรียกว่า ปิติ และเกิดเป้นความสุข จากนั้นรวมทั้งหมดให้เป็นอารมณ์เดียวกันเรียกว่า เอกัคคตา
จากนั้นเมื่อฝึกฝนจนชำนาญจิตก็จะมีพลังมากขึ้นขณะจิตมีพลังร่างกายก็ต้องแข็งแรงออกกำลังกายด้วยการใช้สมาธิด้วยการเดินจงกรม
เมื่อเกิดสมาธิแล้วสิ่งที่จะรักษาสมาธิไว้ได้ก็คือสติเพราะเมื่อจิตละเอียดที่เกิดจากสมาธิ หรือจิตที่เชื่องแล้วเราสามารถปลอยไปไหนก็ได้เพียงแต่ใช้สติให้รู้ทัน รู้จักมัน หรือรู้จักอารมณ์
การทำสมาธินี้อาจให้โทษแก่ผู้ปฏิบัติได้หากขาดปัญญา






พระพุทธโอวาทที่แสดงถึงทางสายกลางก็คือ"สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนังฯ " กล่าวคือการไม่ทำบาปทั้งปวง สร้างกุศล สิ่งที่สุดก็คือจิตใจที่ผ่องใส นี้คือทางสายกลาง จากสิ่งที่สุดโต่ง 2 ทาง คือ อัตตกิลมถานุโยค และกามสุขัลลิกานุโยค คือสิ่งทั้งสองนี้ไม่มีความสงบระงับจากกิเลสได้ เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่ความสุข แท้ที่จริงแล้ว สุขก็คือทุกข์ เพราะสุขกับทุกข์ก็เหมือนหัวงูกับหางงู ความดีใจ ความเสียใจมีพ่อแม่คนเดียวกันก้คือ ตัณหา

หลักของศีล สมาธิ และปัญญา ไม่แก่นของศาสนา แต่เป็นแนวทางนำไปสู่ตัวของศาสนาก็คือ มรรค
เพราะหลักที่แท้จริงของพุทธศาสนาก็คือการรู้เท่าทันตามความเป็นจริง คืออริยสัจจ์ นั่นเอง


วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การมีส่วนร่วมภาคประชาชน



















มหาวิทยาลัยได้นำชุมชนเข้ามาร่วมในการพัฒนามหาวิทยาลัยด้านกิจการนักศึกษามาหลายปีแล้ว มีการประชุมทั้งในภาพรวม และการติดต่อตามกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชุมชนที่อยู่ร่วมกับมหาวิทยาลัยได้ให้ข้อคิดข้อเสนอแนะและร่วมกิจกรรมช่วยนักศึกษาอย่างมากมาย พอสรุปได้ว่า
(ชุมชนในที่นี้ประกอบด้วย 1) ชุมชนของประชาชนรอบมหาวิทยาลัย 2)หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องพื้นที่มหาวิทยาลัย 3)ผู้นำทางศาสนา(วัด) หรือบางท่านให้ความหมายที่ไพเราะว่า "บวร" คือ วัด บ้าน และหน่วยราชการ)

1. ชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัยได้ร่วมดูแลนักศึกษาที่มาจากสถานที่ต่างๆและมาพักอาศัยอยู่ในชุมชนรอบมหาวิทยาลัยจำนวนมาก บางคนอาจทำความเสื่อมเสียประพฤติผิดจารีต วัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่นชุมชน บางคนอาจก่อความรำคาญ บางคนอาจก่อการทะเลาะวิวาทกันเอง หรือวิวาทกับคนในชุมชน สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชุมชนที่เคยอยู่กันมานานแล้ว มหาวิทยาลัยโดยฝ่ายกิจการนักศึกษาได้ร่วมกันทำความเข้าใจกับชุมชนโดยมองว่า นักศึกษาก็คือลูกหลานของสังคม ขอให้ชุมชนร่วมดูแลรักษาตักเตือนบอกกล่าวเช่นลูกหลาน และผู้นำชุมชนจะเป็นตัวแทนไกล่เกลี่ยให้ความเป็นอยู่ของคนที่จรมาคือนักศึกษา และคนในสังคมเดิมอยู่ร่วมกันได้
2. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ของมหาวิทยาลัยร่วมให้ความดูแลรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินและร่างกายให้กับนักศึกษา ระงับเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่สงบต่างๆ ตรวจตราดูแลพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยต่อการฉก ชิงวิ่งราว การประทุษร้าย การคุกคาม หรือแหล่งการพนัน ยาเสพติด หรือสิ่งที่เป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออนาคตของนักศึกษา
3. เขตบางซื่อ จะร่วมดูแลตรวจตราหอพักของนักศึกษา ร้านค้าร้านอาหาร เพื่อป้องกันสิ่งเสพติด แหล่งปฏิกูลอันเป็นสาเหตุการเกิดโรคระบาด แหล่งเพาะเชื้อต่างๆ เช่น ยุง แมลงวัน หนู นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านค้าขายอาหารสะอาดราคายุติธรรมเพื่อบริการนักศึกษาและประชาชนทั่วไป ดูแลการค้าขายที่ทำให้กีดขวางทางสัญจรและก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยบนทางเท้า เช่นหาบเร่ แผงลอย รถเข็น การวางหรือตั้งสิ่งกีดขวางบนทางเท้า
4. ศาสนสถาน วัดโดยรอบมหาวิทยาลัย เช่น วัดมัชฌันติการาม(วัดน้อย) วัดประชาศรัทธาธรรม(วัดเสาหิน) วัดวิมุตยาราม วัดสร้อยทอง เป็นต้น ล้วนแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อนักศึกษาของมหาวิทยาลัย เช่นการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ ซึ่งมีทุกวันพระ วันอาทิตย์ และวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งช่วยหล่อหลอมกล่อมเกลาให้เยาวชนได้มีสติในการดำเนินชีวิต หรือแม้แต่เรื่องเล้กน้อยคือให้ที่พักอาศัยแก่นักศึกษาต่างจังหวัดที่ทางบ้านมีฐานะขัดสน
5. ส่วนของมหาวิทยาลัย มีกฎระเบียบให่นักศึกษาทำความเข้าใจระหว่างขึ้นทะเบียนเป้นนักศึกษา คณะ/วิทยาลัยมีการอบรมจริยธรรม ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมของมหาวิทยาลัยและชุมชน ยังมีการส่งเสริมด้านกิจกรรมต่างระหว่างเป็นนักศึกษาเพื่อ พัฒนาทักษะชีวิต ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ มีหน่วยงานส่วนกลางคือกองกิจการนักศึกษาร่วมกับคณะ/วิทยาลัยสนับสนุน ทั้งกิจกรรมในร่ม กลางแจ้ง กิจกรรมนอกมหาวิทยาลัย ด้านการปกป้องนักศึกษามหาวิทยาลัยมีการประสานเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลนักศึกษารณรงค์ให้ปลอดภัยทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจริยธรรม จนจบไปเป้นบัณฑิตที่มีคุณธรรมจริยธรรม ตามประสงค์ของมหาวิทยาลัยและสังคม
ทั้งห้าส่วนนี้จะประชุมสานร่วมมือช่วยเหลือให้ข้อคิดเห็นตลอดถึงติดตามภาระกิจนี้จนกว่าจะเห็นความสำเร็จ




วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยิงปืนฉับพลัน

ยิงปืนฉับพลัน
ถ้าใครเคยฝึกวิชายิงปืน มีถานีฝึกหนึ่งเรียกว่า สถานียิงปืนฉับพลัน สถานีนี้จะฝึกให้รู้จักวิธียิงปืนลักษณะรีบด่วน กระชั้นชิด ในหลายท่าการยิง ปัง ปัง ปัง เช่น ท่านอน นั่ง พับเข่า และท่ายืน ใช้กระสุนจริงส่วนใหญ่จะใช้แบบ m 16 ดังนั้นการฝึกจึงเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย ผู้ยิง 1 คน จะมีครูฝึก 1 คน กำกับอย่างใกล้ชิด เข้มงวด ป้องกันการผิดพลาดระหว่างทำการฝึกยิง เพราะหากพลาดก็หมายถึงการบาดเจ็บหรือชีวิต ผู้ทำการฝึกจึงต้องจดจำกติกาต่างๆรวมถึงขั้นตอนการฝึก ลักษณะการฝึกอย่างแม่นยำ ก่อนฝึกครูผู้ฝึกจะทำการชี้แจงแนะนำขั้นตอนต่างๆครบทุกด้าน และระหว่างทำการฝึก ผู้ที่รอฝึกก็จะทำท่าท่างเหมือนผู้ทำการฝึกจริงตลอดเวลา ซึ่งทำให้เกิดความชำนาญการ รู้งาน รู้หลักการ รู้วิธีการ ก่อนกระทำจริงได้ดี ผู้ที่ต้องการฝึกบุคลากรเพื่อเข้าระบบงานจริงทั้งในงานปกติ หรืองานบริหารจะนำแนวทางนี้ไปใช้เพื่อจัดเตรียมบุคลากรไว้ก่อน ก็นับว่าเป็นวิธีการที่ดีวิธีหนึ่งจากหลายๆวิธี

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ศาลยี่ราฟ มจพ.

ศาลยี่ราฟ มจพ.











ผมจากบ้านมาเพราะมีคนนำตัวมาไว้กับปู่ผมที่ศาลาบำเพ็ญตบะของท่านเทพอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ย่านบางซ่อน เพื่อให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนปู่ ก่อนนี้เคยได้ยินว่าปู่ผมมาช่วยดูแลที่บำเพ็ญตบะให้ท่านเทพ เมื่อมีคนนำผมมาผมดีใจมาก แต่พอมาเจอปู่่ของผมถึงกับพูดไม่ออก ปู่ผมแก่มากแล้วเนื้อตัวสีเปลี่ยนไปมาก นี่ก็แสดงว่าท่านอายุมากแล้ว น่าสงสารเหมือนกัน





ที่บำเพ็ยตบะของท่านเทพในแต่ละวันจะมีคนมากราบไหว้ท่านเทพจำนวนมาก นอกจากปู่แล้วก็มีพี่ๆ และเพื่อนๆน้องๆ มาก พวกเราอยู่กันมากและสนุกด้วย











ปู่ของผมละครับสีไม่เหมือนใคร












นอกจากพวกเราที่โตๆแล้วก็มีน้องๆที่ยังเด็กๆก็มีจำนวนมาก รุ่นน้องพวกนี้จะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ โตขึ้นพวกเขาจะมาเล่นกับเรา บ้างไหมน้อ


ผมมาอยู่กับปู่ได้ประมาณ 4 ปี ผมสังเกตเห็นปู่ชอบเขียนหนังสือไว้ในสมุดเล่มเล็กๆอยู่บ่อยครั้ง ผมอดไม่ได้ที่จะถามว่าปู่่ทำอะไร ปู่่บอกว่าแม้ปู่จะอายุมากแล้วแต่ปู่ก็ยังชอบที่จะอ่านเขียนหนังสือไว้บ้างป้องกันการหลงลืม และยังเป็นการฝึกฝนสมองที่นับวันก็เริ่มจะเชื่องช้าคิดอ่านไม่เร็วอย่างแต่ก่อน และคนที่มากราบไหว้ท่านเทพก็มีมากขึ้นทุกวัน ปู่บอกว่าถ้าหนูว่างไม่มีอะไรทำก็ไปหยิบเอาบันทึกที่ปู่เขียนไว้มาอ่านดูก็ได้นะ เพราะการที่เราจะรู้อะไรถ้ารู้ความเป็นมา(อดีต) เอาไปบวกกับความรู้ปัจจุบัน จะทำให้หนูอ่านอนาคตออกผมดีใจมากไปหยิบบันทึกที่ห้องสมุดสำหรับเก็บบันทึกของปู่มา 1 เล่ม เก่ามากเลย แต่ไม่สกปรกเพราะที่นี่เขามีแม่บ้านคอยมาปัดฝุ่นทำความสะอาดให้ ดีจัง
ผมลองเปิดอ่านหน้าแรกเขียนว่า "ความเป็นมาของปู่" ผมดีใจมากที่จะได้รู้เสียทีว่าปู่มาจากใหน เพราะเคยถามใครๆ เขาก็พากัน ส่ายคอไปมา ในบันทึกปู่บอกว่า ปู่เกิดมาจากการเนรมิตของนายช่างหัตถกรรม ท่านหนึ่งเขาเรียกท่านว่า "นายถวิล ตาแก้ม" ท่านผู้นี้ได้ไปฝึกการสร้างปู่มาจากสำนักฝึกฝนอาชีพ ท่านผู้นี้นอกจากจะสร้างปู่แล้วยังสร้างโต๊ะม้านั่งให้นักศึกษานั่งอ่านหนังสือตามใต้ต้นไม้ ปู่เห็นพวกนักศึกษามีความสุข บางคนยังเอาหัวตัวเองวางบนโต๊ะแล้วดูเหมือนจะหลับก่อนที่ปู่จะมาอยู่กับท่านเทพ ครั้งแรกปู่เคยยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าโบสถ์หลวงพ่อสิงห์ ข้างหน้ามาก่อน ตอนนั้นที่บำเพ็ญตบะของท่านเทพยังไม่ได้สร้างให้สวยงามเหมือนทุกวันนี้
ปู่ก็ฟังเขามาอีกทีหนึ่งว่า แต่เดิมบริเวณแถวนี้เป็นสวนของชาวบ้าน คนส่วนใหญ่จะอาศัยคลองบางเขนเดินทางไปมาหาสู่กัน เป็นหนทางที่มีการคมนาคมที่เรือแจวมากมายไม่ว่าจะเป้นการค้าขายหรือติดต่อกับญาติพี่น้องล้วนแต่อาศัยคลองนี้ออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

ตรงบริเวณที่เขาสร้างที่บำเพ็ญตบะของท่านเทพทุกวันนี้ แต่เดิมเป็นเพียงบ้านไม้เล็กๆ(ลักษณะศาลเพียงตา) ไว้ที่ปากทางแยกของคลองที่แยกจากคลองบางเขนใหม่ไปสู่บ้านเรือนชาวบ้าน แถวนี้มีแต่ป่าแต่สวนไม่ค่อยมีบ้านคนต่อมาบริเวณนี้อาจารย์ท่านก็ขอชื้อจากชาวบ้านเพื่อสร้างที่เรียนหนังสือให้นักศึกษา แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ทำลายที่บำเพ็ญตบะของท่านเทพและต่อมายังทำนะบำรุงอย่างดีมาจนทุกวันนี้
เมื่อท่านอาจารย์ย้ายปู่มาอยู่ที่นี่ ปู่ว้าเว่มาก ไม่คุ้นเคยกับใครแต่ท่านเทพดีมาก ปู่มีความอบอุนใจไม่คิดจะไปที่ใหนอีกแล้ว ท่านพูดกันว่าท่านที่พาปู่มาอยู่ที่นี่พบกับความสำเร็จมาก แม้แต่ท่านที่สน้งปู่ข่าวว่า มีเงินมีบ้านที่ดิน พอข่าวว่าคนที่พาปู่มาไว้ที่นี่แล้วพบแต่ความสำเร็จ จากนั้นมาก็จะมีคนพาพวกลูกหลานมาไว้กับปู่มิได้ขาด เขามาขอให้ท่านเทพให้เลขเขาบ้าง ให้เนื้อคู่เขาบ้าง ให้ลูกหลานเขาบ้าง ให้เขาสอบได้บ้าง หลายคนก็ได้นะ บางคนก็ไม่ได้ ที่ได้ก็จะพาหลานๆ มาไว้กับปู้ มีพวงมาลัย น้ำแดง แม้แต่ท่านอาจารย์ทำบุญท่านก็มาบูชาท่านเทพด้วยอาหารหวานคาว โอยๆๆๆๆๆๆ ง่วงแล้วปู่ ขอไปยืนหลับนะ


ศาลาท่าน้ำคลองบางเขนโบราณวัดมัชฌันติการาม
คลองสามแพร่งที่สร้างศาลมาแต่ดั้งเดิม







คลองบางเขนใหม่ไหลผ่านมหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วัดอนัมนิกายาราม

ประวัติความเป็นมา


วัดอนัมนิกายาราม ตั้งอยู่ที่ใกล้สี่แยกบางโพ แถบตรงข้ามกับถนนสายไม้ หรือซอยประชานฤมิตร เขตบาซื่อ กรุงเทพฯ



วัดนี้เป้นวัดเล็กๆ ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือให้ความสนใจ คนที่เคยผ่านไปมาย่านบางโพอาจจะแปลกอยู่บ้างก็คือชื่อวัดไม่คุ้นเคยกับพวกเรา แต่วัดนี้ไม่ธรรมดาตั้งอยู่บริเวณนี้มากว่า 200 ปีแล้วนะ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2552 ผมจึงได้เดินทางเข้าไปชมวัดเพื่อให้คลายสงสัยว่าวัดนี้เป็นวัดดะไรกันแน่ เป็นอยู่อย่างไร มีเสนาสนะ หรือศาสนสถานอะไรบ้างแตกต่างจากวัดอื่นๆอย่างไร เมื่อได้เข้าไปแล้วจึงขออนุญาตนำสิ่งที่พบเห็นมาเล่าสู่กันฟังเพื่อประดับความรู้หรือหากท่านสนใจก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมและทำบุญสร้างกุศลได้ตามประวัติแล้ววัดอนัมนิกายารามนี้ เป็นวัดพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่เป็นนิกายมหายานสายประเทศเวียตนาม หรือญวนนิกาย จึงเรียกชื่อว่า "อนัมนิกาย" วัดนี้ได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2330 ขณะที่พระเจ้าองค์เชียงสือได้เข้ามาพึ่งพาพระบรมโพธิสมภาร ในสมัยรัชกาลที่ 1 และพระองค์จึงโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนครก็คือสถานที่ตั้งวัดและบริเวณใกล้เคียง(มีหลักฐานประการหนึ่งก็คือที่ดินที่อยู่ติดแม่น้ำใกล้กับบริเวณวัดยังเป็นที่ราชพัสดุมาจนถึงปัจจุบัน) ผู้ที่ดำเนินการก่อสร้างวัดก็คือสองพี่น้องที่ติดตามองค์เชียงสือมาก้คือ องค์โหเดืองดึ๊ก และองค์ธงยุงยาน ได้ร่วมกันก่อสร้างแต่เดิมให้ชื่อว่า "วัดกว่างเผื๊อกตื่อ" มีเจ้าอาวาสรูปแรก (เข้าใจว่าน่าจะร่วมเดินทางเข้ามากับคณะขององค์เชียงสือ) นามว่า "เหยี่ยวกร่าง" ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดพระราชทานนามวัดใหม่เป็น "วัดอนัมนิกายาราม" จนถึงปัจจุบัน วึ่งมีชื่อพระราชทานและตราพระราชลัญจกรที่อัญเชิญไว้ที่ด้านหน้าพระอุโบสถ




ด้านศาสนสถานและสิ่งเคารพบูชาของวัด


1) พระอุโบสถ เป็นสถปัตยกรรมแบบเวียตนาม ภายนอกมีใบเสมาตั้งอยู่บนตัวพระอุโบสถ ด้านในมีลวดลายแบบเวียดนามสวยงาม



2) พระพุทธรูปสถาปัตยกรรมแบบเวียดนามโดยเฉพาะพระอัครสาวกที่ยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาขององค์พระเป็นพระมหากัสสปะ และพระอานนท์(สำหรับของไทยจะเป็นพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ)





3) พระโพธิสัตย์ "กวางออมโบ้ตั๊ก" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือ "พระโพธิสัตย์กวนอิม" ประดิษฐานอยู่ที่ศาลา


4) เทพ หรือเซียน ประจำวันต่างๆ ตามคติมหายานมีไว้ให้คนที่เกิดตามวันนั้นได้สักการะบูชา


5) อุปกรณ์ในการสวดมนต์ มีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างคือ "หมอ" เป็นอุปกรณ์สำหรับไว่เคาะให้จังหวะในการสวดมนต์ "กังสะดาน" มีรูปร่างคล้ายบาตรน้ำมนต์ไว้ตีให้สัญญาณการเริ่มสวดบทใหม่







กิจกรรมทางศาสนา



1) งานบูชาดวงดาวนพเคราะห์ จัดในเทศกาลตรุษจีน


2) งานบริจาคทานทิ้งกระจาด จัดช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม


3) งานกฐิน ผ้าป่า ตามพุทธานุญาต









เจ้าอาวาสปัจจุบัน



เจ้าอาวาสวัดอนัมนิกายารามตั้งแต่ตั้งวัดถึงปัจจุบัน รวม 7 รูป และรูปปัจจุบันคือ พระคณานัมธรรมวิธานาจารย์ (นามเดิม สมาน กลีบเมฆ เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี)และยังเป็นพระเถระด้านการปกครองคณะสงฆ์มหายานในตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกายฝ่ายขวา อุปบทเมื่อ พ.ศ. 2499 ปัจจุบัน อายุ 75 ปี พรรษา 52 พรรษา

พุทธศาสนามหายาน

พระพุทธศาสนาได้แยกเป็นนิกายต่างๆ มากมายภายหลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว แต่นิกายที่สำคัญและมีผู้คนให้ความศรัทธานับถือจำนวนมากมีอยู่ด้วยกัน 3 นิกายคือ นิกายมหายาน หรืออาจาริยาวาท นิกายหีนยาน หรือเถรวาท และนิกายวัชรยาน
นิกายมหายานจะเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีน เวียตนาม ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนนิกายวัชรยานไปตั้งมั่นที่ทิเบตส่วนนิกายหีนยานเจริญรุ่งเรืองทางใต้ของอินเดีย ลังกา อาณาจักรศรีวิชัยและประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา
มหายานแปลว่ายานลำใหญ่ที่สามารถนำพาสรรพสัตว์ออกพ้นจากวัฏฏสงสารได้คราวละมากๆ หรือ
อาจริยาวาท นิกายที่ถือเอาตามคำสอนของอาจารย์ ว่ากันว่าตามหลักฐานที่เป็นภาพปรากฏตามปราสาทหินในแถบประเทศไทยและกัมพูชา และการใช้ถาคาอาคม การบริกรรมบางอย่าง นั้นสันนิฐานว่าในประเทศแถบนี้พุทธศาสนานิกายมหายานเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน
ปัจจุบันพุทธศาสนานิกายมหายานได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยตามการย้ายถิ่นฐานของประชากรอยู่ 2 ประเทศคือ 1) พุทธศานามหายานจีนนิกาย ได้เข้ามาพร้อมกับชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย 2) พุทธศาสนามหายาน อนัมนิกาย หรือญวนนิกาย ได้เข้าพร้อมกับการอพยพเข้ามาเนื่องจากภัยสงคราม ของชาวเวียตนาม
ถึงแม้ว่าพุทธศาสนานิกายมหายานทั้งสาย จีนนิกายและอนัมนิกาย จะเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานแล้วก็ตามแต่ก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่จะเข้าใจหลักธรรม หรือคำสอน วัตรปฏิบัตรของนิกายมหายาน เนื่องจากคนไทยยุคปัจจุบันไม่เข้าใจว่า ทำไม่การแต่งกายของพระนิกานมหายานจึงมีรูปแบบคล้ายคฤหัสถ์ อีกทั้งคำสอนคำอธิบายหลักธรรมก็น้อยมากเช่นกันทั้งที่คำสอนในอดีตตั้งแต่นิกายนี้รุ่งเรืองอยู่ในอินเดียก็มีจำนวนมาก หรืออีกประการหนึ่งเดิมอาจจะมีปัญหาทางลัทธิการเมืองการปกครอง เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ทำให้รัฐบาลไทยในยุคก่อนนั้นไม่ไว้วางใจจึงมีการปิดกั้น ล้อมรั้วการเผยแผ่เอาไว้พื้นที่จำกัดก็อาจเป็นได้ ซึ่งจากข้อมูลของพระคณานัมธรรมวิธานาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย ฝ่ายขวา วัดอนัมนิกายาราม กล่าวว่า ปัจจุบันวัดพระนิกายมหายานทั่วประเทสไทยมีอยู่ประมาณ 18 วัด มีพระภิกษุไม่ถึง 100 รูป แต่ถึงอย่างไรก็ตามในยุคนี้คงไม่มีใครสามารถปิดกั้นได้อีกแล้ว จึงอยู่ที่ศาสนิกชนยาวพุทธที่นับถือนิกายมหายานจะต้องนำหลักธรรมคำสอนตามแนวทางของพุทธมหายานมาเผยแพร่สนับสนุนให้พุทธศาสนาทั้งมหายาน และหินยานได้เจริยรุ่งเรืองเพื่อเป็นทางดำเนินชีวิตให้กับสังคมไทยหรือสังคมอื่นๆนำไปปฏิบัติตามความเหมาะของการดำเนินชีวิตของตน

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การสร้างความพึงพอใจตามหลักพุทธศาสนา

การที่ใครก็ตามจะสร้างความพึงพอใจให้กับใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรานั้นแม้แต่ตัวเราเองคิดพึงพอใจในตนเองมากน้อยเพียงใดช่วยคิดไตร่ตรองดู ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าจิตของคนเราไม่นิ่ง แกว่งอยู่ตลอดเวลาไปตามสภาพของการปรุงแต่ง แม้แต่โคลงโลกนิติยังกล่าวถึงจิตใจมนุษย์ไว้อย่างน่าฟังทุกยุกทุกสมัยว่า
พระสมุทรสุดลึกล้ำ คณนา
สายดิ่งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงวัดวา กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์เรามีจิตใจที่มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีวันเต็มเฉกเช่นทะเลไม่อิ่มในน้ำ ทางพุทธศาสนาท่านเรียกว่า ตัณหา หรือความหยาก มีอยู่ 3 ขั้น คือ
1) กามตัณหา ความต้องการในกามหรือความใคร่ต่างๆ ส่วนมากจะเป้นทางกายภาพ เช่น ต้องการมีบ้าน มีรถมีที่ดิน มีเครื่องบิน หรือแม้ยานอาวกาศ ฯลฯ
2) ภวตัณหา ความหยากมีอยากเป็น เช่นอยากมีตำแหน่งสูงๆ อยากเป็นผู้นำคน อยากให้ผู้คนเคารพนบนอบอยากเป็นเทวดา ฯลฯ
3) วิภวตัณหา ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่อยากไปนรก ไม่อยากขึ้นสวรรค์ ไม่อยากเป็นนายใคร และไม่อยากอะไรทั้งนั้น
จากความต้องการหรือไม่ต้องการของมนุษย์ซึ่งมันเป็นตัณหาทั้งนั้น แล้วจะมีใครหน้าใหนสร้างความพึงพอใจให้กับมนุษย์ได้ มากที่สุด ได้ละท่านเอ๋ย ผมเห็นหน่วยงานต่าง ๆ แทบทั้งสิ้นแข่งขันกันสร้างความพึงพอใจให้กับผู้มาใช้บริการเพื่อให้ได้คะแนน มากที่สุด ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเขาทำสำเร็จถือว่าเป็นหน่วยงานที่สามารถเอาชนะกิเลสของมนุษย์ได้
มนุษย์นอกจากจะมีกิเลสในตัณหาทั้งสามแล้วยังตกอยู่ในวังวนของสิ่งที่มาครอบงำมนุาย์ที่เนียกว่า โลกธรรม มีอยู่ 8 ประการคือ
1) ต้องการอะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องลงแรง อ้อนวอนจากสิ่งสักดิ์สิทธิืเพื่อให้ได้มาบ้าง ลงทุนนิดหน่อยเอากำไรมากที่สุด เรียกว่า ลาภ
2) จะไปทางใหนจะต้องมีคนห้อมล้อม เชื้อเชิญ ก้มกราบเคารพนบนอบหรือเรียกว่า ยศ
3) อยู่ที่ไหนขอให้เพรียบพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกให้ รถหรูคันงาม เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ สิ่งสัมผัสนุ่มๆ หรือเรียกว่า สุข
4) อยู่ที่แห่งหนตำบลใดก็มีคนที่พูดด้วยคำไพเราะ อ่อนหวาน ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เราเรียกว่า สรรเสริญ
และในทางกลับกันมนุษย์ย่อมไม่มีความพยายามที่จะทอดทิ้งสิ่งตรงกันข้ามเหล่านี้
1) จะไปทางใหนก็มีแต่ความลำบาก ต้องทนรอคอย ไม่มีใครให้ความสนใจ สิ่งศักดิืสิทธิ์ก็ไม่ช่วยเรียกว่า เสื่อมลาภ
2) จะพบหน้าใครคนที่เคยแวดล้อมก็หนีหมด ไม่ใครสนใจ ไม่มีใครเชื้อเชิญ เสื่อมยศ
3) อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับตนนั้นได้มาด้วยความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกข์
4) ถูกผู้คนดูหมิ่น นินทาว่าร้ายต่าง ๆ นานา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นินทา
จากวังวนของสิ่งที่ครอบงำมนุษย์ทั้ง 8 อย่างนี้ เมื่อพิจารณาแล้วมี 4 อย่างที่มนุษย์อยากได้ และอีก 4 อย่างมนูษย์ไม่อยากพบอยากเจอ เราพอจะตัดสินได้ว่า ถ้าเราทำให้มนุษย์ได้รับ โลกธรรม 4 ชนิดดี มนุษย์ต้องพึงพอใจแน่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักทฤษฎีของนักจิตวิทยาชื่อดังอย่าง มาสโลว์ ที่ได้ตั้งทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 ขั้นคือ
1) ความต้องการทางร่างกาย 2)ความต้องการความปลอดภัย 3)ความต้องการทางสังคม 4)ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง 5)ความต้องการสมหวังในชีวิต
เมื่อเราเริ่มมีแนวทางสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับมนุษย์ตามหลักโลกธรรม หรือตามหลักของมาสโลว์ได้ แต่นั้นเราก็ไม่รู้ว่า เขาจะพึงพอใจกับเราหรือเปล่า ก้ต้องย้อนไปที่โคลงที่โลกนิติว่าไว้ หรือตามหลักตัณหาของพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพุทธศาสนาจำนวนหนึ่งที่กล่าวว่าถ้าใครก็ตามประพฤติได้ตามหลักการนี้ก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคนที่อยู่ใกล้ได้ในระดับ มาก เลยที่เดียว หลักธรรมนี้เรียกว่า ทศพิธราชธรรม หมายถึงหลักธรรมที่สร้างพึงพอใจ 10 ประการ คำว่า "ราชา" แปลว่า "พึงพอใจ" ถ้าคำว่า "มหาราชา" หรือ "มหาราช" แปลว่า "พึงพอใจมาก" ผมมีเพื่อนที่ไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศอินเดียได้เล่าให้ฟังว่า ได้ไปเลี้ยงน้ำชาเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นแขก ปรากฎว่าวันหลังพวกเพื่อนแขกได้เรียกเพื่อนผมคนนี้ว่า มหาราชะ ก้แปลว่าพึงพอใจมากนั่นเอง
หลักธรรมคือทสพิธราชธรรมนี้ประพฤติแล้วได้ผลจริงๆ และเป็นหลักการที่ดีถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถนำไปวิเคราะห์วิจัยได้ และถือว่าเป็นหลักธรรมาภิบาลของอารธรรมตะวันออกที่ดีมาก แต่ขาดการกล่าวถึงในเชิงวิชาการ แต่ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติเสมอมา โดยเฉพาะผู้นำที่เป็นพระมหากษัตริย์ก็จะยึกหลักธรรม 10 ประการนี้ร่วมเป็นส่วนประกอบในการบริหารบ้านเมือง ประกอบด้วย
1) ปราถนาจะเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ (ทาน)
2) เป็นผู้รู้จักการรักษากายวาจาได้เรียบร้อย(ศีล)
3) เป็นผู้มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม(บริจาค)
4) เป็นผู้มีความซื่อตรง(อาชวะ)
5) เป็นคนสุภาพอ่อนโยนนิ่มนวล(มัทวะ)
6) เป็นกำจัดความเห็นแก่ตัว(ตะบะ)
7) ไม่มักโกรธ(อักโกธะ)
8) เป็นคนไม่เบียดเบียนคนอื่น(อวิหิงสา)
9) เป็นคนที่ความอดทนสูง(ขันติ)
10) เป็นคนที่ไม่ประพฤติผิดวิปริตแหวกแนว(อวิโรธปนะ)
ครับ หวังว่าท่านเป็นผู้สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับตนเองและผู้ร่วมชะตาได้