วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประสบการณ์ปฏิบัติกรรมฐาน

ประสบการณ์ปฏิบัติกรรมฐาน

เมื่อวันที่ 1-15 เมษายน 2549 ได้เข้าอบรมปฏิบัติกรรมฐาน ที่วัดเขาสุกิม และวัดเขาบรรจบ จังหวัดจันทบุรี วัดละ 7 วัน โดยมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ พระธรรมวิสุทธิกวี เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวรวิหาร เป็นพระอาจารย์สอนปฏิบัติกรรมฐาน


พระธรรมวิสุทธิกวี

ในการอบรมครั้งนี้มีทั้งพระภิกษุ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ประมาณ 2 คันรถบัส ช่วงแรกพระอาจารย์นำไปฝึกขั้นเริ่มต้นที่วัดเขาสุกิมก่อนเป้นแห่งแรก บรรดาอุบาสกอุบาสิกาทุกคนต้องนุ่งขาวห่มขาว(ไม่ปลงผม) สมาทานศีล 8 กิจวัตรประจำวันคือ ตอนเช้าทำวัตรสวดมนต์และทำสมาธิ เดินจงกรมเวลา 04.00 น.ถึง 06.00น. จากนั้นร่วมกันทำบูญตักบาตรและสมาทานศ๊ล เสร็จแล้วฟังบรรยายจากพระอาจารย์และทำสมาธิจนถึงเวลาเพล ร่วมกันถวายภัตตาหารเพลเสร็จแล้วรับประทานอาหาร บ่ายโมงเข้าฟังบรรยายและทำสมาธิถึงเวลา 17.00 น.พักผ่อนอิริยาบถ เวลา 19.00น.ทำวัตรเย็นฟังบรรยายและทำสมาธิเดินจงกรมจนถึงเวลา 23.00น.เข้าพักผ่อน



























เมื่อครบกำหนด 7 วันแล้วทั้งพระและโยมย้ายจากวัดเขาสุกิมมุ่งหน้าสู่วัดเขาบรรจบซึ่งเป็นวัดที่มีพื้นที่เป็นป่าเขาอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ ใหญ่น้อย สัตว์ต่างๆมากมาย เช่น งู เงียบสงบมาก(วังเวง) ข้างวัดมีลำธารที่มีโขดหินใหญ่น้อยมากมายเวลาน้ำไหลกระทบหินเสียงดัง ซู่ซ่า บนไปมากับความเงียบสงบ(บาดใจดีจริง) กิจวัตรประจำวันที่วัดเขาบรรจบจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแต่การปฎิบัติจะเข้มข้นมากขึ้น การพักอาศัยต้องอยู่ที่กรด หรือเต้นของตนเองห้ามพูดคุย เน้นด้านวิปัสนากรรมฐาน








คำสอนจากเจ้าคุณอาจารย์บางส่วน

การฝึกสมาธิด้วยวิธีอาปานสติ(กำหนดลมหายใจ)

ก่อนทำสมาธิด้วยวิธีอาปาณสติ คือการใช้ลมหายใจเป็นอุปกรณ์เพื่อให้จิตสงบ ขณะนั่งใช้ขาขวาทับขาซ้าย ใช้มือขวาทับมือซ้าย วางไว้ระหว่างตัก ทำตัวให้ตรง ไม่ต้องเก็ง ให้นังตามสบายมากที่สุด





จากนั้นให้ทดลองหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ และทดลองหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น และหายใจเข้าปกติ หายใจออกปกติเพื่อทำการทดสอบท่านเปรียบเหมือนช่างเย็บผ้าก่อนจะทำการเย็บต้องทดลองจักรดูว่าเหมาะกับเท้าของตนหรือไม่
จากนั้นก็ทำจิตใจให้สบายยกลมหายใจของตนเข้าสู่จะมูกและลองตามลมดูว่าเข้าปลายลมถึงจมูก ถึงอก ถึงสะดือและก็ตามลมออกมาทดลองเพื่อปรับร่างกาย แต่เมื่อถึงเวลาจริงการทำสมาธิแล้วไม่ต้องตามลม ให้กำหนดรู้ว่า
หายใจเข้าภาวนาในใจว่า "พุทธ" หายใจออกก็ภาวนาว่า


"โธ" กำหนดสติให้รู้สึกตัวอยู่เสมอและอย่าส่งจิตออกไปภายนอก หากจิตออกไปก็ใช้สติดึงกลับมา ถ้าพบว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิ กำหนดเห็นว่าลมหายใจเบาลง ร่างกายเบา ละเอียดมากขึ้นจนไม่สามารถกำหนดรู้ลมได้แล้ว ก็เพียงกำหนดรับรู้ว่ามีลมเข้าออกไว้ก็พอจากนั้นให้ไปดูที่จิตให้นิ่งก็พอแล้ววางอารมณ์ข้างนอก และดูข้างใน




เมื่อจิตนิ่ง อาจจะมีจิตเกิดวิตกขุ่นข้องขัดเคือง ก็ใช้จิตวิจารณ์วิเคราะห์ให้เห็นที่ถูกต้อง จนเกิความถูกต้องเป็นความดีใจที่เรียกว่า ปิติ และเกิดเป้นความสุข จากนั้นรวมทั้งหมดให้เป็นอารมณ์เดียวกันเรียกว่า เอกัคคตา
จากนั้นเมื่อฝึกฝนจนชำนาญจิตก็จะมีพลังมากขึ้นขณะจิตมีพลังร่างกายก็ต้องแข็งแรงออกกำลังกายด้วยการใช้สมาธิด้วยการเดินจงกรม
เมื่อเกิดสมาธิแล้วสิ่งที่จะรักษาสมาธิไว้ได้ก็คือสติเพราะเมื่อจิตละเอียดที่เกิดจากสมาธิ หรือจิตที่เชื่องแล้วเราสามารถปลอยไปไหนก็ได้เพียงแต่ใช้สติให้รู้ทัน รู้จักมัน หรือรู้จักอารมณ์
การทำสมาธินี้อาจให้โทษแก่ผู้ปฏิบัติได้หากขาดปัญญา






พระพุทธโอวาทที่แสดงถึงทางสายกลางก็คือ"สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนังฯ " กล่าวคือการไม่ทำบาปทั้งปวง สร้างกุศล สิ่งที่สุดก็คือจิตใจที่ผ่องใส นี้คือทางสายกลาง จากสิ่งที่สุดโต่ง 2 ทาง คือ อัตตกิลมถานุโยค และกามสุขัลลิกานุโยค คือสิ่งทั้งสองนี้ไม่มีความสงบระงับจากกิเลสได้ เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่ความสุข แท้ที่จริงแล้ว สุขก็คือทุกข์ เพราะสุขกับทุกข์ก็เหมือนหัวงูกับหางงู ความดีใจ ความเสียใจมีพ่อแม่คนเดียวกันก้คือ ตัณหา

หลักของศีล สมาธิ และปัญญา ไม่แก่นของศาสนา แต่เป็นแนวทางนำไปสู่ตัวของศาสนาก็คือ มรรค
เพราะหลักที่แท้จริงของพุทธศาสนาก็คือการรู้เท่าทันตามความเป็นจริง คืออริยสัจจ์ นั่นเอง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น