วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วัดอนัมนิกายาราม

ประวัติความเป็นมา


วัดอนัมนิกายาราม ตั้งอยู่ที่ใกล้สี่แยกบางโพ แถบตรงข้ามกับถนนสายไม้ หรือซอยประชานฤมิตร เขตบาซื่อ กรุงเทพฯ



วัดนี้เป้นวัดเล็กๆ ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือให้ความสนใจ คนที่เคยผ่านไปมาย่านบางโพอาจจะแปลกอยู่บ้างก็คือชื่อวัดไม่คุ้นเคยกับพวกเรา แต่วัดนี้ไม่ธรรมดาตั้งอยู่บริเวณนี้มากว่า 200 ปีแล้วนะ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2552 ผมจึงได้เดินทางเข้าไปชมวัดเพื่อให้คลายสงสัยว่าวัดนี้เป็นวัดดะไรกันแน่ เป็นอยู่อย่างไร มีเสนาสนะ หรือศาสนสถานอะไรบ้างแตกต่างจากวัดอื่นๆอย่างไร เมื่อได้เข้าไปแล้วจึงขออนุญาตนำสิ่งที่พบเห็นมาเล่าสู่กันฟังเพื่อประดับความรู้หรือหากท่านสนใจก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมและทำบุญสร้างกุศลได้ตามประวัติแล้ววัดอนัมนิกายารามนี้ เป็นวัดพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่เป็นนิกายมหายานสายประเทศเวียตนาม หรือญวนนิกาย จึงเรียกชื่อว่า "อนัมนิกาย" วัดนี้ได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2330 ขณะที่พระเจ้าองค์เชียงสือได้เข้ามาพึ่งพาพระบรมโพธิสมภาร ในสมัยรัชกาลที่ 1 และพระองค์จึงโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนครก็คือสถานที่ตั้งวัดและบริเวณใกล้เคียง(มีหลักฐานประการหนึ่งก็คือที่ดินที่อยู่ติดแม่น้ำใกล้กับบริเวณวัดยังเป็นที่ราชพัสดุมาจนถึงปัจจุบัน) ผู้ที่ดำเนินการก่อสร้างวัดก็คือสองพี่น้องที่ติดตามองค์เชียงสือมาก้คือ องค์โหเดืองดึ๊ก และองค์ธงยุงยาน ได้ร่วมกันก่อสร้างแต่เดิมให้ชื่อว่า "วัดกว่างเผื๊อกตื่อ" มีเจ้าอาวาสรูปแรก (เข้าใจว่าน่าจะร่วมเดินทางเข้ามากับคณะขององค์เชียงสือ) นามว่า "เหยี่ยวกร่าง" ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดพระราชทานนามวัดใหม่เป็น "วัดอนัมนิกายาราม" จนถึงปัจจุบัน วึ่งมีชื่อพระราชทานและตราพระราชลัญจกรที่อัญเชิญไว้ที่ด้านหน้าพระอุโบสถ




ด้านศาสนสถานและสิ่งเคารพบูชาของวัด


1) พระอุโบสถ เป็นสถปัตยกรรมแบบเวียตนาม ภายนอกมีใบเสมาตั้งอยู่บนตัวพระอุโบสถ ด้านในมีลวดลายแบบเวียดนามสวยงาม



2) พระพุทธรูปสถาปัตยกรรมแบบเวียดนามโดยเฉพาะพระอัครสาวกที่ยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาขององค์พระเป็นพระมหากัสสปะ และพระอานนท์(สำหรับของไทยจะเป็นพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ)





3) พระโพธิสัตย์ "กวางออมโบ้ตั๊ก" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือ "พระโพธิสัตย์กวนอิม" ประดิษฐานอยู่ที่ศาลา


4) เทพ หรือเซียน ประจำวันต่างๆ ตามคติมหายานมีไว้ให้คนที่เกิดตามวันนั้นได้สักการะบูชา


5) อุปกรณ์ในการสวดมนต์ มีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างคือ "หมอ" เป็นอุปกรณ์สำหรับไว่เคาะให้จังหวะในการสวดมนต์ "กังสะดาน" มีรูปร่างคล้ายบาตรน้ำมนต์ไว้ตีให้สัญญาณการเริ่มสวดบทใหม่







กิจกรรมทางศาสนา



1) งานบูชาดวงดาวนพเคราะห์ จัดในเทศกาลตรุษจีน


2) งานบริจาคทานทิ้งกระจาด จัดช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม


3) งานกฐิน ผ้าป่า ตามพุทธานุญาต









เจ้าอาวาสปัจจุบัน



เจ้าอาวาสวัดอนัมนิกายารามตั้งแต่ตั้งวัดถึงปัจจุบัน รวม 7 รูป และรูปปัจจุบันคือ พระคณานัมธรรมวิธานาจารย์ (นามเดิม สมาน กลีบเมฆ เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี)และยังเป็นพระเถระด้านการปกครองคณะสงฆ์มหายานในตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกายฝ่ายขวา อุปบทเมื่อ พ.ศ. 2499 ปัจจุบัน อายุ 75 ปี พรรษา 52 พรรษา

พุทธศาสนามหายาน

พระพุทธศาสนาได้แยกเป็นนิกายต่างๆ มากมายภายหลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว แต่นิกายที่สำคัญและมีผู้คนให้ความศรัทธานับถือจำนวนมากมีอยู่ด้วยกัน 3 นิกายคือ นิกายมหายาน หรืออาจาริยาวาท นิกายหีนยาน หรือเถรวาท และนิกายวัชรยาน
นิกายมหายานจะเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีน เวียตนาม ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนนิกายวัชรยานไปตั้งมั่นที่ทิเบตส่วนนิกายหีนยานเจริญรุ่งเรืองทางใต้ของอินเดีย ลังกา อาณาจักรศรีวิชัยและประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา
มหายานแปลว่ายานลำใหญ่ที่สามารถนำพาสรรพสัตว์ออกพ้นจากวัฏฏสงสารได้คราวละมากๆ หรือ
อาจริยาวาท นิกายที่ถือเอาตามคำสอนของอาจารย์ ว่ากันว่าตามหลักฐานที่เป็นภาพปรากฏตามปราสาทหินในแถบประเทศไทยและกัมพูชา และการใช้ถาคาอาคม การบริกรรมบางอย่าง นั้นสันนิฐานว่าในประเทศแถบนี้พุทธศาสนานิกายมหายานเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน
ปัจจุบันพุทธศาสนานิกายมหายานได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยตามการย้ายถิ่นฐานของประชากรอยู่ 2 ประเทศคือ 1) พุทธศานามหายานจีนนิกาย ได้เข้ามาพร้อมกับชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย 2) พุทธศาสนามหายาน อนัมนิกาย หรือญวนนิกาย ได้เข้าพร้อมกับการอพยพเข้ามาเนื่องจากภัยสงคราม ของชาวเวียตนาม
ถึงแม้ว่าพุทธศาสนานิกายมหายานทั้งสาย จีนนิกายและอนัมนิกาย จะเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานแล้วก็ตามแต่ก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่จะเข้าใจหลักธรรม หรือคำสอน วัตรปฏิบัตรของนิกายมหายาน เนื่องจากคนไทยยุคปัจจุบันไม่เข้าใจว่า ทำไม่การแต่งกายของพระนิกานมหายานจึงมีรูปแบบคล้ายคฤหัสถ์ อีกทั้งคำสอนคำอธิบายหลักธรรมก็น้อยมากเช่นกันทั้งที่คำสอนในอดีตตั้งแต่นิกายนี้รุ่งเรืองอยู่ในอินเดียก็มีจำนวนมาก หรืออีกประการหนึ่งเดิมอาจจะมีปัญหาทางลัทธิการเมืองการปกครอง เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ทำให้รัฐบาลไทยในยุคก่อนนั้นไม่ไว้วางใจจึงมีการปิดกั้น ล้อมรั้วการเผยแผ่เอาไว้พื้นที่จำกัดก็อาจเป็นได้ ซึ่งจากข้อมูลของพระคณานัมธรรมวิธานาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย ฝ่ายขวา วัดอนัมนิกายาราม กล่าวว่า ปัจจุบันวัดพระนิกายมหายานทั่วประเทสไทยมีอยู่ประมาณ 18 วัด มีพระภิกษุไม่ถึง 100 รูป แต่ถึงอย่างไรก็ตามในยุคนี้คงไม่มีใครสามารถปิดกั้นได้อีกแล้ว จึงอยู่ที่ศาสนิกชนยาวพุทธที่นับถือนิกายมหายานจะต้องนำหลักธรรมคำสอนตามแนวทางของพุทธมหายานมาเผยแพร่สนับสนุนให้พุทธศาสนาทั้งมหายาน และหินยานได้เจริยรุ่งเรืองเพื่อเป็นทางดำเนินชีวิตให้กับสังคมไทยหรือสังคมอื่นๆนำไปปฏิบัติตามความเหมาะของการดำเนินชีวิตของตน

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การสร้างความพึงพอใจตามหลักพุทธศาสนา

การที่ใครก็ตามจะสร้างความพึงพอใจให้กับใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรานั้นแม้แต่ตัวเราเองคิดพึงพอใจในตนเองมากน้อยเพียงใดช่วยคิดไตร่ตรองดู ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าจิตของคนเราไม่นิ่ง แกว่งอยู่ตลอดเวลาไปตามสภาพของการปรุงแต่ง แม้แต่โคลงโลกนิติยังกล่าวถึงจิตใจมนุษย์ไว้อย่างน่าฟังทุกยุกทุกสมัยว่า
พระสมุทรสุดลึกล้ำ คณนา
สายดิ่งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงวัดวา กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์เรามีจิตใจที่มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีวันเต็มเฉกเช่นทะเลไม่อิ่มในน้ำ ทางพุทธศาสนาท่านเรียกว่า ตัณหา หรือความหยาก มีอยู่ 3 ขั้น คือ
1) กามตัณหา ความต้องการในกามหรือความใคร่ต่างๆ ส่วนมากจะเป้นทางกายภาพ เช่น ต้องการมีบ้าน มีรถมีที่ดิน มีเครื่องบิน หรือแม้ยานอาวกาศ ฯลฯ
2) ภวตัณหา ความหยากมีอยากเป็น เช่นอยากมีตำแหน่งสูงๆ อยากเป็นผู้นำคน อยากให้ผู้คนเคารพนบนอบอยากเป็นเทวดา ฯลฯ
3) วิภวตัณหา ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่อยากไปนรก ไม่อยากขึ้นสวรรค์ ไม่อยากเป็นนายใคร และไม่อยากอะไรทั้งนั้น
จากความต้องการหรือไม่ต้องการของมนุษย์ซึ่งมันเป็นตัณหาทั้งนั้น แล้วจะมีใครหน้าใหนสร้างความพึงพอใจให้กับมนุษย์ได้ มากที่สุด ได้ละท่านเอ๋ย ผมเห็นหน่วยงานต่าง ๆ แทบทั้งสิ้นแข่งขันกันสร้างความพึงพอใจให้กับผู้มาใช้บริการเพื่อให้ได้คะแนน มากที่สุด ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเขาทำสำเร็จถือว่าเป็นหน่วยงานที่สามารถเอาชนะกิเลสของมนุษย์ได้
มนุษย์นอกจากจะมีกิเลสในตัณหาทั้งสามแล้วยังตกอยู่ในวังวนของสิ่งที่มาครอบงำมนุาย์ที่เนียกว่า โลกธรรม มีอยู่ 8 ประการคือ
1) ต้องการอะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องลงแรง อ้อนวอนจากสิ่งสักดิ์สิทธิืเพื่อให้ได้มาบ้าง ลงทุนนิดหน่อยเอากำไรมากที่สุด เรียกว่า ลาภ
2) จะไปทางใหนจะต้องมีคนห้อมล้อม เชื้อเชิญ ก้มกราบเคารพนบนอบหรือเรียกว่า ยศ
3) อยู่ที่ไหนขอให้เพรียบพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกให้ รถหรูคันงาม เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ สิ่งสัมผัสนุ่มๆ หรือเรียกว่า สุข
4) อยู่ที่แห่งหนตำบลใดก็มีคนที่พูดด้วยคำไพเราะ อ่อนหวาน ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เราเรียกว่า สรรเสริญ
และในทางกลับกันมนุษย์ย่อมไม่มีความพยายามที่จะทอดทิ้งสิ่งตรงกันข้ามเหล่านี้
1) จะไปทางใหนก็มีแต่ความลำบาก ต้องทนรอคอย ไม่มีใครให้ความสนใจ สิ่งศักดิืสิทธิ์ก็ไม่ช่วยเรียกว่า เสื่อมลาภ
2) จะพบหน้าใครคนที่เคยแวดล้อมก็หนีหมด ไม่ใครสนใจ ไม่มีใครเชื้อเชิญ เสื่อมยศ
3) อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับตนนั้นได้มาด้วยความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกข์
4) ถูกผู้คนดูหมิ่น นินทาว่าร้ายต่าง ๆ นานา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นินทา
จากวังวนของสิ่งที่ครอบงำมนุษย์ทั้ง 8 อย่างนี้ เมื่อพิจารณาแล้วมี 4 อย่างที่มนุษย์อยากได้ และอีก 4 อย่างมนูษย์ไม่อยากพบอยากเจอ เราพอจะตัดสินได้ว่า ถ้าเราทำให้มนุษย์ได้รับ โลกธรรม 4 ชนิดดี มนุษย์ต้องพึงพอใจแน่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักทฤษฎีของนักจิตวิทยาชื่อดังอย่าง มาสโลว์ ที่ได้ตั้งทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 ขั้นคือ
1) ความต้องการทางร่างกาย 2)ความต้องการความปลอดภัย 3)ความต้องการทางสังคม 4)ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง 5)ความต้องการสมหวังในชีวิต
เมื่อเราเริ่มมีแนวทางสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับมนุษย์ตามหลักโลกธรรม หรือตามหลักของมาสโลว์ได้ แต่นั้นเราก็ไม่รู้ว่า เขาจะพึงพอใจกับเราหรือเปล่า ก้ต้องย้อนไปที่โคลงที่โลกนิติว่าไว้ หรือตามหลักตัณหาของพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพุทธศาสนาจำนวนหนึ่งที่กล่าวว่าถ้าใครก็ตามประพฤติได้ตามหลักการนี้ก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคนที่อยู่ใกล้ได้ในระดับ มาก เลยที่เดียว หลักธรรมนี้เรียกว่า ทศพิธราชธรรม หมายถึงหลักธรรมที่สร้างพึงพอใจ 10 ประการ คำว่า "ราชา" แปลว่า "พึงพอใจ" ถ้าคำว่า "มหาราชา" หรือ "มหาราช" แปลว่า "พึงพอใจมาก" ผมมีเพื่อนที่ไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศอินเดียได้เล่าให้ฟังว่า ได้ไปเลี้ยงน้ำชาเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นแขก ปรากฎว่าวันหลังพวกเพื่อนแขกได้เรียกเพื่อนผมคนนี้ว่า มหาราชะ ก้แปลว่าพึงพอใจมากนั่นเอง
หลักธรรมคือทสพิธราชธรรมนี้ประพฤติแล้วได้ผลจริงๆ และเป็นหลักการที่ดีถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถนำไปวิเคราะห์วิจัยได้ และถือว่าเป็นหลักธรรมาภิบาลของอารธรรมตะวันออกที่ดีมาก แต่ขาดการกล่าวถึงในเชิงวิชาการ แต่ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติเสมอมา โดยเฉพาะผู้นำที่เป็นพระมหากษัตริย์ก็จะยึกหลักธรรม 10 ประการนี้ร่วมเป็นส่วนประกอบในการบริหารบ้านเมือง ประกอบด้วย
1) ปราถนาจะเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ (ทาน)
2) เป็นผู้รู้จักการรักษากายวาจาได้เรียบร้อย(ศีล)
3) เป็นผู้มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม(บริจาค)
4) เป็นผู้มีความซื่อตรง(อาชวะ)
5) เป็นคนสุภาพอ่อนโยนนิ่มนวล(มัทวะ)
6) เป็นกำจัดความเห็นแก่ตัว(ตะบะ)
7) ไม่มักโกรธ(อักโกธะ)
8) เป็นคนไม่เบียดเบียนคนอื่น(อวิหิงสา)
9) เป็นคนที่ความอดทนสูง(ขันติ)
10) เป็นคนที่ไม่ประพฤติผิดวิปริตแหวกแนว(อวิโรธปนะ)
ครับ หวังว่าท่านเป็นผู้สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับตนเองและผู้ร่วมชะตาได้