วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความเอื้อเฟื้อหายไปใหน?



  1. ความเอื้อเฟื้อหายไปใหน?

นับเป็นระยะเวลานานแสนนานที่สังคมไทยได้แสดงความเอื้อเฟื้อเจือจานต่อเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าคุณ "จะเป็นใคร" จะไปที่ใหนๆ คุณจะไม่อดตาย และไม่มีใครยินยอมให้คุณอดตาย(ยกเว้นคุณอยากตายเอง)


เหตุผลข้างต้นมีคนถกเถียงกันว่า ประเทศอื่นก็มีเหมือนกัน ไม่มีประเทศใหนอยากให้คนอดตายเช่นกัน ก็ต้องยอมรับว่าถูกต้องเช่นกัน แต่ "วัฒนธรรม" การต้อนรับ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่างกันโดยสิ้นเชิง


สังคมของคนไทยต้อนรับ "อาคันตุกะ" ด้วยความห่วงใยเสมอ ถึงแม้ว่าคุณจะร่ำรวยมหาศาล คุณยังพอมีรับประทานบ้าง หรือคุณไม่(อะไร)อันจะกินเลย อย่างเท่าเทียมกัน คนที่มีความเอื้อเฟื้ออย่างคนไทยจะมีคำถามกับผู้มาเยือนคล้ายกันทุกภูมิภาค"เดินทางมาคงเหนื่อยนั่งพักก่อนนะ" "ทานข้าวมาหรือยัง" "ดื่มน้ำเย็นๆก่อน" "จะไปอีกไกลใหม" "ค้างที่บ้านก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ" "มาหาใครจะพาไปส่ง" ฯลฯ นี่คือความเอื้อเฟื้อของสังคมที่ดีงามของคนไทยที่ใครก็ชม แม้แต่คนไทยด้วยกันเองก็ยังชมกันเอง การเอื้ออาทรเช่นนี้ฝรั่งยังชมยังหลงใหล "สยามเมืองยิ้ม"


เมื่อถึง พ.ศ.นี้ ปีนี้ เดือนนี้ สัปดาห์นี้ และวันนี้ ความเอื้อเฟื้อที่พวกเราเคยมี ยังมีอยู่หรือไม่? หายไปใหนหรือยัง? ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในสายเลือดของทุกคนก็ว่าได้ แต่ที่สัมผัสมาในสังคมเมือง หรือแม้แต่ต่างจังหวัด

ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้ม กลายเป็น เคร่งขรึม

ดวงตาที่เคยอ่อนโยนสัมผัสได้ กลายเป็น หวาดหวั่นหวาดระแวง

ดวงใจที่เคยเอื้ออาทร กลายเป็น เห็นแก่ตัว

หรือความเอื้อเฟื้อจะหายไปจากสังคมของเราจริงๆ ในยุคของเรา เป็นเรื่องที่เราเศร้าใจไม่น้อย..ถ้าจริง


ก่อนหน้านี้ไม่นานหลายคนยังจดจำคนไทยแสนจะใจดีมีน้ำใจได้ คนแข็งแรงให้เกียรติคนที่อ่อนแอกว่า คนมีเงินสิ่งของมากเจือจานคนที่มีน้อยกว่า ทุกๆคนมีการแบ่งบันจนเกิดสิ่งมหัศจรรย์ทางสังคมมากมาย ทุกวันนี้แค่จะหาน้ำใจจากชายไทยบนรถโดยสารสาธารณะต่อ สุภาพสตรี เด็ก และคนชรา ก็ยากเต็มที


หากจะว่าไปแล้ว"ความเอื้อเฟื้อ" ที่คนไทยมีมาแต่บรรพบุรุษ เมื่อมาประสมประสานตามคำสอนของศาสนาต่างๆทำให้เกิดสังคมที่เข้มแข็งมากขึ้น หากจะยกตัวอย่างคำสอนของศาสนา เช่นพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมความเอื้อเฟื้อของคนไทยมากเช่นกัน "คำว่าเอื้อเฟื้อ" เมื่อนำไปเทียบเคียงกับคำสอนของพุทธศาสนาจะมีอยู่หลากหลาย ในที่นี้จะยกตัวอย่าง คือหลักธรรมว่า"คารวธรรม 6" คำว่า คารวะ บางท่านอาจจะนำไปผูกกับบทพากภาพยนต์จีนกำลังภายในที่มักจะมีคำพูดว่า"ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก" ก็คล้ายๆอย่างนั้น เพราะคำว่า"คารวะ" ก็มีความหมายว่า "เคารพ" ก็ได้หรือ "ให้เกียรติ" หรือก็คือ "ความเอื้อเฟื้อ" ที่สังคมของมนุษย์ควรมีต่อกัน 6 ประการคือ


1.สัตถุคารวตา(Reverence for The Master) คือการให้ความเคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อผู้รู้ ศาสดา ผู้สอน นักปราชญ์ ราชบัณฑิต หรือผู้มีความสามารถ

2. ธัมมคารวตา(Reverence for The Dhamma) คือการให้ความเคารพ เอื้อเฟื้อ หรือให้เกียรติ ต่อความถูกต้อง ความเป็นธรรม หลักธรรม (การให้ขั้นเงินเดือน)

3. สังฆคารวตา (Reverence for The Order) คือการให้ความเคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อกลุ่มคณะ พระสงฆ์ ชุมชน หรือสังคม

4. สิกขาคารตา(Reverence for The Training) คือการให้ความเคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อการฝึกฝนตนเอง วิชาความรู้(ถูกต้อง) คำสอน อาชีพ การศึกษาหาความรู้
5. อัปปมาทคารวตา(Reverence for Carnestness) เคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อการควบคุมสติ ไม่ประมาท การรู้จักรับผิดชอบ

6. ปฏิสันถารคารวตา(Reverence for Hospitality) การเคารพ เอื้อเฟื้อ ให้เกียรติต่อการต้อนรับแขก การทักทายปราศรัย ซึ่งอาจจะมีการต้อนรับด้วยอามิสสิ่งของ เช่น อาหารหวานคาว ของฝากของที่ระลึก หากเป้นการต้อนรับแบบหลักธรรม เช่น การแนะนำตามหลักวิชาการ การมอบความรู้ การศึกกษาดูงาน การแสดงองค์ความรู้(KM) หรือการทำหน้าที่ต้อนรับแขกตามความเหมาะสม


หลักความเอื้อเฟื้อทั้ง 6 ประการนี้(คารวธรรม)พิจารณาดีๆแล้วไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเกินเลยกว่าที่สังคมไทยประพฤติปฏิบัติต่อกัน ดังนั้นหากผู้ใหญ่มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้น้อย ผู้น้อยก็เอื้อเฟื้อต่อผู้ใหญ่ มิตรสหายก็เอื้อเฟื้อต่อกันและกัน สังคมที่มีความเอื้อเฟื้อของไทยก็จะยังไม่หายไปใหน....เว้นแต่


การเลือกที่จะเอื้อเฟื้อเฉพาะคนที่เห็นว่าให้ประโยชน์กับคุณได้อย่างเดียว..คำว่าเอื้อเฟื้อ จะกลายเป็น ชะเลีย..เท่านั้นเอง เอวัง

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฉลองอายุวัฒนมงคล 99 ปี พระมงคลนนทวุฒิ


ฉลองอายุวัฒนมงคล 99 ปี
พระมงคลนนทวุฒิ(หลวงปู่เก๋)
วัดปากน้ำ นนทบรี
พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณพระมงคลนนทวุฒิ หรือหลวงปุ่เก๋ ถาวโร(โพธิ์จั่น) เกิดวันที่ 20 มิถุนายน 2455 เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำนนทบุรี รูปที่ 7 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 ถึงปัจจุบัน (วัดปากน้ำเริ่มก่อตั้งปี พ.ศ.2125)
พระมงคลนนทวุฒิ มีนามเดิมว่าเก๋ โพธิ์จั่น อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2475 ที่วัดโตนด บางกร่าง จังหวัดนนทบุรี ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติ และปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นพระนักพัฒนา ต่อมาได้ย้ายมาเป้นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำได้ทำนุบำรุงศาสนาด้วยการสั่งสอนหลักธรรมให้กับญาติโยม พัฒนาวัดปากน้ำ ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนด้วยการมอบทุนการศึกษาจำนวนมาก ปัจจุบันแม้ว่าพระเดชพระคุณท่านจะมีอายุมากแล้วแต่ท่านยังคงปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติ
วัดปากน้ำเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดนนทบุรีและอยู่ใกล้เขตกรุงเทพมหานคร และที่สำคัญก็คือใกล้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ตั้งแต่อดีตกระทั้งถึงปัจจุบันบุคลากรของมหาวิทยาลัยได้รู้จักมักคุ้นกับวัดปากน้ำเป็นอย่างดีในการเข้าไปทำกิจกรรมทางศาสนา หรือรู้จักในฐานะหลวงปู่ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ดังท่านหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี
ในโอกาสที่จะมีการฉลองอายุวัฒนมงคล 99 ปี ของหลวงปู่ ขอเรียนเชิญท่านพุทธศาสนิกชนร่วมกันแสดงมุทิตาต่อท่านด้วยการเข้าวัดฟังมงคลธรรมเพื่อนำไปประพฤติปฎิบัติให้เกิดเป็นคงคลชีวิตของเราสืบไป (สำหรับท่านที่ไม่เคยไปที่วัดหรือไม่แน่ใจว่าจะพบหลวงปู่หรือไม่สามารถสอบถามได้ที่ คุณเดชาชัย โทร.0818599390)