วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

การเอาชนะศัตรู(มาร)ตามแบบชัยมงคลคาถา












การชนะศัตรู(มาร)ตามแบบชัยมงคลคาถา

บทสวดชัยมงคลคาถาเป็นบทสวดที่คุ้นหูกับพวกเราชาวพุทธที่ได้รับฟังพระสวดบ่อยมากมาก บทนี้จะขึ้นต้นการสวดว่า พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ฯลฯ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีท่านเรียกว่า "บทพาหุง มหากา" และชักชวนให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนนำไปสวดเป็นประจำเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง
จริงแล้วการสวดมนต์ก็เป็นการทำจิตใจให้มีพลังอำนาจ หรือพลังจิต "มนต์" เป็นภาษาบาลีมาจากคำว่า "มันตะ" แปลว่าปรึกษา หรือ ตรึกตรอง ใช้ในคามหมายของการใช้ความคิด คือเป็นหน้าที่ของจิตนั่นเองสำหรับมนต์ในพระพุทธศาสนาสามารถตีความขยายไว้เป็น 5 ประการคือ
  • 1. มนต์เป้นคำสำหรับสวดเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิื
    2. มนต์เป็นคำสวดที่ระลึกถึงพระรัตนตรัย
    3. มนต์เป็นเครื่องสร้างกำลังใจหรือทำใจให้เข้มแข็ง
    4. มนต์เป็นความขลังที่น่าประทับใจและมีเสน่ห์
    5. มนต์เป็นเครื่องเตือนสติไม่เกิดความประมาท
การที่บุคคลใดสาธยายมนต์เป็นประจำสม่ำเสมอสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ เนื่องจากบทสวดในพระคาถาต่างๆ ของมนต์มีอัขระมากมายที่มีฐานการเกิดขึ้นของเสี่ยงที่แตกต่างกัน เช่น เสียงบางตัวเกิดจากท้องบ้าง เกิดที่อกบ้าง เกิดที่ลำคอบ้าง เกิดที่นาสิก(จมูก)บ้าง หรือเกิดที่ลิ้นบ้าง ฐานการเกิดของเสียงเหล่านี้จะเป็นระบบสั่น (Vibrations) กระตุ้นอวัยวะภายในให้แข็งแรงทำงานเป็นปกติ
หรือบางรายก็สามารถทำให้เกิดสมาธิที่คนทั่วไปจะเห็นว่าผู้ปฏิบัติธรรมบางท่านมีลูกประคำเพื่อสวดและนับประคำไปด้วยซึ่งเป้นอุปกรณ์ช่วยให้เกิดสมธิเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังสามรถในการบำบัดโรคทางจิตได้ดีด้วยเนื่องจากโรคทางจิตมีพื้นฐานมาจากความอ่อนแอของจิตส่วนบุคคลดังนั้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตจึงเป็นการแก้ไขที่ดี จึงมีคำกล่าวกันว่า "โรคทางกายรักษาด้วยยา โรคทางใจหรือจิตต้องบำบัดด้วยธรรมะ"
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นคือการบรรยายสรพพคุณของการสาธยายมนต์ หรือพูดแบบชาวบ้านว่าสวดมนต์ แต่ในจุดมุ่งหมายในที่นี้จะกล่าวถึงเนื้อหา ของบทสวด "ชัยมงคลคาถา" หรือหลักธรรม ที่จะนำไปปฏิบัติเพื่อเอาชนะศรัตรู หรือมารของเรา ตามแนวทางของชัยมงคลคาถา หรือคาถาที่ทำให้เกิดชัยชนะ และชัยชนะในที่นี้เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องทำร้ายศรัตรู ไม่ใช้อาวุธ เป็นการเอาชนะด้วยธรรม วิธีการเอาชนะมารในบทสวดชัยมงคลคาถามีดังนี้

พระคาถาแรกที่เริ่มสวด พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ฯลฯ แปลความได้ว่าด้วยอานุภาพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ได้ทรงชนะพญามารที่เนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างพลายคีรีเมขล์พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องกึกก้อง ด้วยธรรมวิธีมีทานบารมีเป็นต้น พระคาถานีนั่นคือพระองค์ชนะศรัตรูที่เข้มแข็งมีมือเท้าตั้งเป็นพัน มีบริวารอีกมากมาย บารมีของท่านที่ทำมาก็คือ ทาน จะเป็น ทานพวกสิ่งของ หรือธรรมทาน หรือ อภัยทาน เป็นต้นนั้นกลายเป็นเกราะกำบังภัยให้ทรงชนะได้ ส่วนบารมีที่พระองค์ทำไว้ในอดีตก็มีมากหรือหากจะดูสั้นที่สุดก็คือ บารมี 10 ปรการ(ทศบารมี) ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตย์บำเพ็ยบารมี 10 ชาติ คือ พระเตมีย์ บำเพ็ญเนกขัมมะบารมี พระมหาชนก บำเพ็ญวิริยะบารมี พระสุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี พระเนมิราชบำเพ็ญอธิษฐานบารมี พระมโหสถบำเพ็ญปัญญาบารมี พระวิฑูรบำเพ็ญศีลบารมี พระจันทกุมารบำเพ็ญขันติบารมี พระนารท บำเพ็ญอุเบกขาบารมี พระวิธุระบำเพ็ญสัจจะบารมี และพระเวชสันดรบำเพ็ญทานบารมี เราสามารถย่อคำเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำหรือนำไปท่องบ่นได้ว่า เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว

พระคาถาที่สอง มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง ฯลฯ แปลได้ความว่าด้วยเดชพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงเอาชนะ อาฬวกะยักษ์ ผู้ดุร้าย มีจิตกระด้างลำพอง หยาบช้ายิ่งกว่าพญามารเข้ามารุกรานตลอดรุ่งราตรี ด้วยขันติธรรม พระคาถานี้นี้ก็จะเห็นว่าบางครั้งการเอาชนะคนที่มีจิตใจชั่วร้ายเข้ามารุกรานเราด้วยการใช้ขันติตามแบบที่พระพุทธเจ้าใช้มาแล้ว

พระคาถาที่สาม นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ฯลฯ แปลความได้ว่าด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงชนะ พญาช้างนาฬาคีรี ซึ่งกำลังเมามัน ร้ายแรงเหมือนไฟป่า ลุกลาม ร้องโกญจนาทเหมือนฟ้าฟาด ด้วยวิธีรดด้วยน้ำคือ เมตตาธรรม พระคาถานี่ก็เป็นวิธีเอาชนะความโกรธ พยาบาท อาฆาตที่รุนแรงด้วยสิ่งที่เยือกเย็ยยิ่งกว่าก็คือ การใช้เมตตาธรรม เพราะเมตตาธรรมเป้นสิ่งที่คำจุนสังคม(โลก)ไว้ได้

พระคาถาที่สี่ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ฯลฯ แปลความได้ว่าด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ชนะ องคุมาลโจร ผู้ทารุณร้ายกาจนัก ทั้งฝีมือก็เยี่ยมควงดาบไล่ตามพระพุทธเจ้าระยะทาง 3 โยชน์ ด้วยอิทธิปาฏิหารย์ บางทีการเอาชนะคนที่ไม่ยอมรับฟังหรือมีความเชื่อมั่นอย่างไม่ใครเลยก็ต้องใช้ฤทธิ์(อำนาจ) ที่มีอยู่ให้เขารู้สึกสำนึกตัวจึงจะใช้หลักธรรมอื่นๆ ได้ดี

พระคาถาที่ห้า กัตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา ฯลฯ แปลโดยความว่า ด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผุ้เป้นจอมมุนี ได้ทรงชนะ นางจิญจะมาณะวิกา ที่ทำมารยาเสแสร้ง กล่าวโทษพระองค์ โดยผูกท่อนไม้กลมเข้ากับท้องทำเป็นท้องแก่มีครรภ์ ด้วยสมธิวิธี พระคาถานี้ ได้แสดงให้เห็นว่าหากคิดว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงต้องมีความสงบตั้งมั่นที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่จริง โดยไม่สะทกสะท้อน หรือที่เรียกว่าเอาความสงบสะยบความวุ่นวาย

พระคาถาที่หก สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง ฯลฯ แปลโดยความว่าด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยประทีปคือปัญญาได้พบทาบชนะ สัจจะนิครนถ์ ผู้มีนิสัยตะลบแะแลง มีสันดานโอ้อวด มืดมน ด้วยเทศนาญาณวิธี พระคาถานี้แสดงให้เห็นว่าคนมีความรู้บางคนชอบโอ้อวด ทั้งที่อาจไม่รู้จริงก็ได้คนพวกนี้ผุ้ที่ต้องควบคุมต้องใช้ความรู้ในการสั่งสอนเพื่อปราบพยศ


พระคาถาที่เจ็ด นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ฯลฯ แปลโดยความว่าด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้าผู้เป้นจอมมุนีโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระ นิรมิตกายเป็นนาคราชไปทรมาน นันโทปะนันทะ
นาคราช
ผู้มีฤทธิ์มากแต่มีความรู้ผิดด้วยวิธีอุปเทศแห่งฤทธิ์ พระคาถานี้แสดงว่าการสอนของพระองค์บางก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง และรู้จักใช้บุคคลที่เหมาะสมกับงาน



พระคาถาที่แปด ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง ฯลฯ แปลโดยความว่าด้วยเดชแพ่งพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงชนะท้าว พกาหรหม ผู้มีฤทธิ์สำคัญตนว่ามีฤทธิ์รุงเรือง รุ่งเรืองด้วยวิสุทธิคุณ ถือมั่นในมิจฉาทิฏฐิเหมือนดังถูกงูร้ายรัดรึงไว้แน่น ด้วยวิธีประทานยาพิเศษคือเทศนาญาณ พระคาถานี้ก็จะเห็นอีกว่าคนที่มีความรู้แล้วสำคัญตนผิดไปต้องใช้ความรู้ที่มากกว่า ใช้ความบริสุทธิ์ที่มากกว่า ใช้ความดีที่เหนือกว่าจึงจะเอาชนะทิฏฐิของคนบางคนได้

ส่วนพระคาถาที่เก้าเป็นการสนับสนุนว่าคนใดก็ตามได้ท่องบ่นภาวนาพระคาถาทั้งแปดข้าต้นและนำไปปฏิบัติจะทำให้ปราสจากภัยอันตรายใดๆทั้งหลายได้
จากพุทธวิธีเอาชนะมารของพระพุทธเจ้าที่ได้ผูกเป้นพระคาถาไว้ให้บุคคลทั่วไปได้ท่องบ่นภาวนาแล้วเนื้อธรรมในพระคาถายังเป็นแนวทาง เป็นวิธีการที่ให้เรานำไปใช้ในชีวิตประจำวันทั้งส่วนตัว หรือการบริหารงาน บริหารคนได้ ส่วนรายละเอียดของเรื่องผู้สนใจควรค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้ได้อรรถรส ของเรื่องและธรรม หรือพุทธจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

อ้างอิง
1. ธ.สวัสดิ์นะที นิทานประกอบภาพชุดพระเจ้าสิบชาติ โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด 2543
2. พระมหาสิงห์ทน นราสโภ(คำซาว) พลังรังษีธรรม โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด 2543
3. พระครูอรุณ เขมรังษี มนต์พิธีแปล โรงพิมพ์อักษรสมัย(1999)
4. พิสิฏ เจริญสุข หนังสือสวดมนต์แปล โรงพิมพ์กรมการศาสนา 2545