วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

"นม” เบื้องหลังการพลัดพราก

“นม” เบื้องหลังการพลัดพราก


เจริญ แฉกพิมาย


น้ำนม หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า นม เป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของตัวอ่อนที่เกิดจากสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ในอดีตหากตัวอ่อนขาดน้ำนมจากแม่ส่วนใหญ่แล้วยากที่จะมีชีวิตรอด สมัยนั้นจึงมีวิธีแก้ไขด้วยการหา “แม่นม” รับช่วยเลี้ยงดูให้น้ำนมแทนแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้กระทำทั้งในคนและสัตว์อื่น ปัจจุบันวิทยาการด้านอาหารสำหรับตัวอ่อนที่เกิดใหม่เพื่อทดแทนน้ำนมจากแม่มีการพัฒนาไปมากทีเดียว มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า นมจากแม่วัวที่มีจำหน่ายในท้องตลาดในปัจจุบันใกล้เคียงกับนมที่มาจากแม่ของมนุษย์มากที่สุด และตัวของแม่ที่เป็นมนุษย์เองก็อาจมีภาระเรื่องการทำงานหาเลี้ยงชีพ สังคม หรือแม้บางคนก็ห่วงเรื่องทรวดทรง ด้วยเหตุนี้กระมัง คุณแม่สมัยใหม่จึงนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมวัวให้ลูกแทนน้ำนมตนเองมากขึ้นใปจจุบัน

ข้อมูลของประเทศไทยเมื่อปี 2548 พบว่า ประเทศไทยมีวัวนม 536,720 ตัว สามารถผลิตน้ำนมได้ประมาณ 916,146 ตัน ต่อปี หรือปราณ 2,510 ตัน ต่อวัน และแม่โค 1 ตัว สามารถผลิตน้ำนมได้ประมาณ 11.38 กิโลกรัม ต่อวัน มีผู้ประมาณว่าแม่โคนมจะมีเลือดไหลผ่านเต้านมประมาณวันละ 90,000 กิโลกรัม และเลือดประมาณ 400-800 กิโลกรัมจึงจะสามารถสร้างน้ำนมได้เพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น และน้ำนมทั้งหมดจะถูกส่งเข้าโรงงานแปรรูปที่อยู่ประมาณ 81 โรง

การจะได้มาซึ่งนมจากวัวนั้นมิใช่ว่าวัวทุกตัวจะมีน้ำนมได้เอง วัวแม่พันธุ์เมื่ออายุประมาณ 15-18 เดือนจึงจะสามารถประผมพันธุ์ได้ เมื่อผสมพันธุ์ติดแล้วจะตั้งท้องประมาณ 265-300 วัน และเมื่อคลอดลูกแล้วจะให้น้ำนมลูกได้ประมาณ 300 วัน ดังนั้นการผู้เลี้ยงวัวนมเมื่อจะเอาน้ำนมจากวัว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขัดขวางมิให้ลูกวัวได้ดื่มนมของแม่วัวด้วยวิธีการแยกลูกวัวไปอยู่ในที่อื่นแล้วใช้นมผงละลายน้ำให้ลูกวัวดื่มแทน (กรณีนี้ เป็นกรณีที่ลูกวัวคลอดลูกวัวออกมาแล้วยังมีชีวิต) และถ้าลูกวัวที่คลอดออกมาเป็นตัวเมียเจ้าของก็จะเลี้ยงดูให้เป็นแม่พันธุ์ต่อ แต่ถ้าเป็นลูกวัวตัวผู้ก็จะมีพ่อค้ามารับซื้อแล้วนำไปแปรรูปเป็นไส้กรอกลูกวัวบ้าง ลูกชิ้นบ้าง หรือนำไปทำวัวย่าง(วัวหัน) ต้อนรับนักท่องเที่ยวแทน ส่วนกรณีถ้าลูกวัวตัวไหน ตัวโตเกินขนาดไม่สามารถคลอดออกมาตามปกติ ผู้เลี้ยงวัวนมจะให้เจ้าหน้าที่ ภิบาลสัตว์ ชำแระลูกวัวที่อยู่ในท้องแม่วัวแล้วจึงค่อยนำเอาชิ้นส่วนออกมาทีละชิ้น ๆ ลูกวัวตาย แม่วัวรอดและได้น้ำนม แต่ถึงลูกวัวคลอดออกมาจะรอดวันคลอด วันข้างหน้าก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะสิ่งที่ผู้เลี้ยงวัวนมต้องการไม่ใช่ลูกวัว แต่เป็น "นมวัว"

จากกระบวนการผลิตนมจะเห็นว่าการเกิดของลูกวัวนมเป็นสิ่งที่เจ้าของวัวนมต้องการให้เกิด แต่มิได้ต้องการลูกวัวที่เกิดมา แต่ให้เกิดเพื่อต้องการน้ำนมจากแม่วัว กิจกรรมการพรากลูกจากแม่หรือพรากแม่ออกจากลูก จึงเกิดขึ้น มีใครสักคนไหมที่ชอบดื่มนมวัวจะคิดว่านี่เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทั้งที่คนทั่วโลกอ้างว่าตนเองเป็นคนมีศาสนา แม้จะเป็นคนละศาสนาก็ตาม ฝ่ายศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าก็สั่งสอนให้ใช้เมตตาต่อกัน และถือว่าสัตว์ทุกชนิดเป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ในโลกนี้ ศาสนาที่นับถือพระเจ้าพระองค์ได้มีพระเมตตาสร้างสรรพสัตว์ทุกสิ่งมาอยู่ร่วมกันด้วยความสุขไม่เบียดเบียนบนโลกใบนี้เช่นกัน การที่มนุษย์อ้างว่าพวกตนมีจิตใจที่สูงส่งกว่าสัตว์อื่น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วมนษย์คิดจะยกเลิกวิธีการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกด้วยวิธีการที่โหดร้ายเช่นนี้หรือไม่ หรือลำพังมนุษย์ด้วยกันพวกเรายังไม่เว้นกระทำต่อกัน ดังเห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วกรณีที่วัดไผ่เงิน

อ้างอิง
1. การผลิตน้ำนมดิบ อิสระ สุวรรณบล
2. www.milkforthai.org/product/event.html

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดดีๆจากอดีตนายก



ผมได้มีโอกาสเข้าฝึกอบรมที่สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตามหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยจัดบริการไว้ จำได้ว่าเมื่อผมได้เข้าไปที่ห้องประชุม ประภาศน์ อวยชัย พบว่ามีท่านสมาชิกสภาผู้แทนหลายท่านนำโดยท่าน ชวน หลีกภัย ผมต้องกลับคิดทันทีว่า "สงสัยเข้าห้องประชุมผิด" ต้องเดินกลับออกมาถามเจ้าหน้าที่ด้านนอกว่า การอบรมเรื่องนี้ใช่ห้องประชุมนี้หรือเปล่า เมื่อเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าใช่ ก็ยังต้องสงสัยต่อว่าท่านเหล่านั้นมาทำอะไร หรือว่ามีอะไรต้องตรวจสอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่หากมีการตรวจสอบจริง ทำไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับผู้เข้าอบรมด้วย
เมื่อถึงเวลาอบรมท่านวิทยากรได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรมและกล่าวต้อนรับท่านอดีตนายกและท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมจึงได้ถึงบางอ้อ เมื่อการอบรมสิ้นสุดหลักสูตร วิทยากรได้ให้ผู้เข้าอบรมได้พูดและแสดงความคิดเห็น ผมไม่พลาดที่จะเรียนถามท่านชวนว่า ท่านคิดอย่างไรถึงได้นำลูกทีมของท่านเข้ามาอบรมทั้งที่แต่ละท่าน โดยเฉพาะท่านมีความรู้และประสบการณ์มากมาย สามารถไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้ประสบการณ์ของท่านที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ท่านก็ได้ตอบคำถามของผมได้ใจความว่า "ทุกท่านอย่าเห็นว่า ส.ส.ทุกคนเป็นคนวิเศษ ทุกคนไม่ว่าคนทั่วหรือเป็น ส.ส.ล้วนต้องใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ เตรียมตัวให้พร้อม หาความรู้ทุกอย่าง ยิ่งเป็น ส.ส.ด้วยแล้วยิ่งต้องพัฒนาหาความรู้ หากเข้าไปบริหารประเทศแล้วจะได้มีความพร้อมไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษา ซึ่งงานต่างๆไม่สามารถรอท่านได้
จากคำพูดของท่านและการเข้าอบรมของท่านไม่ขาด หรือมาสาย หรือเดินออกจากห้องประชุมก่อนที่วิทยากรจะอนุญาตให้พักนัว่าควรนำไปเป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลังในการศึกษาหาความรู้ที่ไม่มีวันจบได้จริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บางซ่อน

"บางซ่อน" ชื่อนี้หากเป็นคนกรุงเทพฯที่มีอายุ 50 ปี ขึ้นไปรับประกันได้ว่ารู้จักมักคุ้นดีส่วนที่อายุน้อยกว่านั้นก็ลำบากที่จะรู้ได้อย่างไรว่าบริเวณนี้เองอดีตคือชุมชนที่สำคัญแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา "บางซ่อน"วันนี้จึงเลือนลางไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่มากทั้งที่เป็นชุมชนที่สำคัญทางวรรณคดีและประวัติศาตสร์ในอดีต


ผู้ที่สนใจในผลงานของท่านกวีเอกของโลกต้องเคยได้ยินว่า "นิราศพระบาท" เป็นนิราศที่ท่านได้แต่งขึ้นเมื่อครั้งท่านสุนทรภู่ออกเดินทางจากวัดระฆังโฆสิตารามเพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาท(ปัจจุบันอยู่ที่อำเภอพุทธบาท จังหวัดสระบุรี)ตามความศรัทธาของชาวพุทธทุกคน โดยเสด็จพระองศ์เจ้าปฐมวงศ์ พ.ศ.2350 ทางน้ำได้นั่งเรือผ่านสถานที่ตั้งต่างๆ(มีผู้สนใจท่านได้วิเคราะห์สถานที่ที่ท่านผ่านไว้ 46 แห่งคือ คลองขวาง บางจาก สามเสน บางพลัด บางซื่อ บางซ่อน วัดโบสถ์(ตลาดแก้ว) ตลาดขวัญ ปากเกร็ด บางพูด บางพัง วัดเทียนถวาย บางหลวง สามโคก วัดตำหนัก ทุ่งขวาง ราชคาม เกาะใหญ่ บางไทร ลีกุก เกาะเกิด บางปะอิน เกาะพระ เกาะเรียน ท่าเรือ คลองตะเคียน วัดธารมา คลองปทุม วัดแม่นาง-ปลื้ม คลองหัวรอ บ่อโพง บางระกำ บ้านคุ้ง แม่ลา อรัญญิก บ้านขวาง ท่าเรือ บางโขมด ตำบลบ่อโศก หนองคณฑี สระยอ วัดพระพุทธบาท เขาโพธิ์ลังกา ถ้ำประทุนคีรี ถำกินนรี บ่อพรานล้างเนื้อ ถ้ำชาละวัน) มาถึงบางซื่อและต่อมาก็เป็น "บางซ่อน" ซึ่งท่านพรรณาไว้ว่าเป็นบางที่มีพื้นที่กว้างขวางมากสงสัยว่าจะซ่อนคนที่ท่านรักไว้ว่า


ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต

เหมือนชื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร

มิตรจิตขอให้มิตรใจจร

ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง

ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่

ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง

เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหาพี่หน่อยนาง

จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้วฯ


สิ่งก่อสร้างที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่"บางซ่อน"
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่า ทางรถไฟหลวงในสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยา มีขนาดกว้างของทางผิดกัน ทั้งรูปส่วนของรถจักรและล้อเลื่อนที่มีใช้อยู่ก็ไม่เหมือนกัน เป็นเหตุทำให้ต้องสะสมเครื่องอะไหล่สำรองไว้หลายสิ่งหลายอย่างมากนัก เป็นการสิ้นเปลืองเงินแผ่นดินปีละหลายล้านบาท จึงเพื่อดำเนินพระราโชบายให้สำเร็จ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟจัดการแก้ไขทางรถไฟหลวงฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นทางขนาด ๑.๔๓๕ เมตร เปลี่ยนเป็นทางขนาด ๑.๐๐ เมตร เช่นเดียวกับทางรถไฟฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาทั่วราชอาณาเขตต์ และจัดการเชื่อมทางรถไฟหลวงทั้ง ๒ ฟากให้ติดต่อกันโดยวิธีสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ขบวนรถไฟและยวดยานพาหนะอื่นๆ ได้สัญจรติดต่อถึงกันได้สะดวก เป็นประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร ที่จะเดินทางไปมาและบรรทุกส่งสินค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นทางเชื่อมการคมนาคมกับประเทศใกล้เคียงให้ได้รับความสะดวกดียิ่งขึ้นอีกด้วย อาทิ เช่น จากสิงคโปร์ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ สุดทางสายเหนือของราชอาณาจักรไทย ผู้โดยสารอาจเดินทางไปถึงได้ตลอดโดยมิต้องทำการถ่ายขบวนรถเลย เป็นต้น
- จากพระราชดำรินี้จึงได้มีการก่อสร้างสร้างสะพานได้ตกลงแน่นอนแล้วว่า จะใช้ตำบลบางซ่อน ทางฟากตะวันออก ณ บริเวณวัดสร้อยทอง ในเขตต์จังหวัดพระนคร ตัดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงไปยังฟากตะวันตก ณ บริเวณเหนือวัดละมุด(วัดวิมุตยารามปัจจุบัน) ในเขตจังหวัดธนบุรี แม่น้ำเจ้าพระยาตอนนี้กว้างประมาณ ๓๐๐ เมตร
-สะพานที่สร้างนี้ เป็นสะพานเหล็กชนิดคานลอย มีสัณฐานคล้ายรูปสมอแบ่งเป็น ๕ ช่อง ๆ กลางของสะพานยาว ๑๒๐ เมตร มีคานลอยทอดไป ๒ ข้างๆ ละ ๔๑.๕๐ เมตร มีโครงเหล็กยาว ๓๗ เมตร วางประสานในตอนกลาง ช่องใกล้ช่องช่องกลางทั้งสองด้านยาว ๘๔ เมตร และช่องสุดท้ายทั้งสองด้านยาว ๗๗.๐๔ เมตร แต่ละด้านมีคานลอยทอดไปข้างละ ๔๑.๕๐ เมตร และประกอบด้วยโครงเหล็กยาว ๓๕.๕๐ เมตรวางประสานไว้ รวมความยาวของสะพานคำนวณได้ ๔๔๒.๐๘ เมตร แบ่งเตรียมไว้ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะสำหรับทางหลวงกว้าง ๕ เมตร เพื่อให้ยวดยานทุกชนิดผ่านได้ อีกส่วนหนึ่งเป็นทางรถไฟ นอกจากนี้ยังมีทางเท้าไว้สองข้างสะพาน แต่ละข้างกว้าง ๑.๕๐ เมตร
- วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๙ เวลาบ่าย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชชกาลที่ ๗ ) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีเปิดใช้สะพานพระราม ๖
- พระราชดำรัสในการเปิดสะพานพระราม ๖ ความตอนหนึ่งว่า ...การสร้างสะพานพระราม ๖ นี้ ควรนับได้ว่าเปนการงานใหญ่อย่าง ๑ ที่มีเปนครั้งแรกในเมืองไทย และไม่เฉพาะแต่เชื่อมทางรถไฟเท่านั้น ยังได้มีทางสำหรับคนเดิน และสำหรับยวดยานพาหนะอย่างอื่นสัญจรไปมาเตรียมไว้ด้วย ต่อไปเมื่อสร้างถนนหนทางขึ้นแล้ว ยานพาหนะอื่นๆ ก็จะเดินติดต่อถึงกันได้สะดวกทั้งสองฟากลำน้ำระหว่างพระนครกับธนบุรี เมื่อได้รฤกถึงพระราโชบายอันเปนประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร์ดังนี้แล้ว กระทำให้เปนที่เพิ่มพูนพระบารมีแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ผู้ทรงโปรดให้เริ่มริการสร้างสะพานนี้เปนอเนกประการ สะพานพระราม ๖ นี้ต้องนับว่าเปนสิ่ง ๑ ในงานอันสำคัญที่สุดแห่งรัชชกาลของพระองค์ จึงสมควรเปนพระราชอนุสสาวรีย์ที่รฤกถึงพระองค์ได้โดยแท้...
"บางซ่อน" จากข้อมูลอื่นๆ
- ข้อมูลจาก http://www.watmatchan.net/index.php/joomla-license บันทึกไว้ว่า...โรงเรียนนี้ เดิมเป็นโรงเรียนประชาบาล ที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา เปิดเรียนเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ รองอำมาตย์ตรีสงัด ศรีเพ็ญ นายอำเภอบางซื่อได้ทำพิธีเปิด มีครู ๒คน คือ นายปลั่ง ปั้นลายนาค ครูใหญ่ และนายสำราญ มหากายนันท์ เป็นครูน้อย มีนักเรียนชาย ๓๑ คน หญิง๔๓ คน รวม ๗๔ คน ใช้ศาลาวัดเป็นที่เรียน ในระยะเริ่มแรกตำบลนี้เเรียกว่า ตำบลบางซ่อน อยู่ในห้องที่อำเภอ บางซื่อ จังหวัดพระนคร ต่อมาทางราชการ ได้ยุบอำเภอบางซื่อ ไปรวมกับอำเภอดุสิต และบางเขน ตำบลบางซ่อน ยุบรวมเป็นตำบลบางซื่อ โรงเรียนซึ่งมีชื่อเดิมว่า “โรงเรียนประชาบาล ตำบลบางซ่อน ๒” จึงเปลี่ยนชื่อเป็น“โรงเรียนประชาบาล ตำบลบางซื่อ ๑ วัดมัชฌันติการาม” ในปี พุทธศักราช ๒๔๙๗...
- ข้อมูลจาก http://www.watsoithong.com เล่าประวัติของวัดสร้อยทองว่าเดิมชื่อ วัดซ่อนทอง อาณาเขตทิศใต้ติดกับ คลองบางซ่อน
- ข้อมูลจาก http://www.sb.ac.th/linkthai/taewprabad1/sec01p06.html บางซ่อน เป็นตำบลหรือแขวงที่อยู่ตอนเหนือของเขตบางซื่อ มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม มีคลองจำนวนมากเพื่อใช้ในการคมนาคม เดิมบางซ่อนเป็นบ้านสวนต่อเนื่องกับจังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีคลองบางเขน (เก่า) ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแนวกั้นเขต ตรงบริเวณใกล้กับวัดปากน้ำนนทบุรีมีปากคลองบางเขนที่ไหลลงสู่เจ้าพระยาอีกแห่งหนึ่ง คือ สายที่ไหลผ่าน สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ เรียกว่าคลองบางเขนใหม่ ชาวบ้านเรียกว่า“ คลองขุดใหม่ ” บางซื่อ และ บางซ่อนตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเขตติดต่อกับจังหวัดนนทบุรี มีคลองบางเขน (เก่า) เป็นเส้นแบ่งเขตกรุงเทพฯ กับจังหวัดนนทบุรี
- ข้อมูลจาก http://www.websuntaraporn.com/suntaraporn/lyric/postlyric.asp?GID=1296 บ้านคนรักสุนทราภรณ์ กล่าวในเกร็ดเพลง"บางซ่อน" เนื้อเพลงโดยธาตรี ทำนองและขับร้องโดยครูเอื้อ สุนทรสนาน ให้เป็นเพลงที่กล่าวถึงเทคนิคไทย-เยอรมัน ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
เนื้อเพลงบางซ่อน

บางซ่อนบางนี้ไซร้
มิได้ซ่อนบางพราง
เพราะนามบาง
ยินทุกทางทั่วไป
เทคนิคไทยเยอรมัน
นี่นั่นบันลือไกล
เร้นปานใด
ไยเหมือนนามบางซ่อน
อาศัยถิ่นนี้มีวิชา
อันสมค่าขจร
มาขอวอน
บางซ่อนมีวิชา
บางซ่อนบางสอนวิทย์
สมจิตดังปองมา
สมวิญญาณ์
มีวิชาทางช่าง
บางซ่อนบางนี้ไซร้
มิได้ซ่อนบางพราง
เพราะนามบาง
ยินทุกทางทั่วไป
บางซ่อนบางนี้นั้น
ล้วนมั่นความภูมิใจ
วิชาใด
เรารับไปเสริมสร้าง
เรานี้นี่หรือ
มีฝีมือนามสมชื่อตามบาง
เราสมบาง
สมช่างไทยเยอรมัน
บางซ่อนบางสอนรัก
รักปักทรวงนิรันดร์
ทุกชีวัน
รวมสัมพันธ์บางซ่อน
ทั้งหมดที่กล่าวถึง"บางซ่อน"ทำให้เราเกิดความสุขและคิดถึงบางซ่อนขึ้นมาในใจทั้งที่ทางกายภาพเรากำลังอยู่บนพื้นที่"บางซ่อน" ไปตามหาบางซ่อนกันเถอะ...

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความเอื้อเฟื้อหายไปใหน?



  1. ความเอื้อเฟื้อหายไปใหน?

นับเป็นระยะเวลานานแสนนานที่สังคมไทยได้แสดงความเอื้อเฟื้อเจือจานต่อเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าคุณ "จะเป็นใคร" จะไปที่ใหนๆ คุณจะไม่อดตาย และไม่มีใครยินยอมให้คุณอดตาย(ยกเว้นคุณอยากตายเอง)


เหตุผลข้างต้นมีคนถกเถียงกันว่า ประเทศอื่นก็มีเหมือนกัน ไม่มีประเทศใหนอยากให้คนอดตายเช่นกัน ก็ต้องยอมรับว่าถูกต้องเช่นกัน แต่ "วัฒนธรรม" การต้อนรับ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่างกันโดยสิ้นเชิง


สังคมของคนไทยต้อนรับ "อาคันตุกะ" ด้วยความห่วงใยเสมอ ถึงแม้ว่าคุณจะร่ำรวยมหาศาล คุณยังพอมีรับประทานบ้าง หรือคุณไม่(อะไร)อันจะกินเลย อย่างเท่าเทียมกัน คนที่มีความเอื้อเฟื้ออย่างคนไทยจะมีคำถามกับผู้มาเยือนคล้ายกันทุกภูมิภาค"เดินทางมาคงเหนื่อยนั่งพักก่อนนะ" "ทานข้าวมาหรือยัง" "ดื่มน้ำเย็นๆก่อน" "จะไปอีกไกลใหม" "ค้างที่บ้านก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ" "มาหาใครจะพาไปส่ง" ฯลฯ นี่คือความเอื้อเฟื้อของสังคมที่ดีงามของคนไทยที่ใครก็ชม แม้แต่คนไทยด้วยกันเองก็ยังชมกันเอง การเอื้ออาทรเช่นนี้ฝรั่งยังชมยังหลงใหล "สยามเมืองยิ้ม"


เมื่อถึง พ.ศ.นี้ ปีนี้ เดือนนี้ สัปดาห์นี้ และวันนี้ ความเอื้อเฟื้อที่พวกเราเคยมี ยังมีอยู่หรือไม่? หายไปใหนหรือยัง? ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในสายเลือดของทุกคนก็ว่าได้ แต่ที่สัมผัสมาในสังคมเมือง หรือแม้แต่ต่างจังหวัด

ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้ม กลายเป็น เคร่งขรึม

ดวงตาที่เคยอ่อนโยนสัมผัสได้ กลายเป็น หวาดหวั่นหวาดระแวง

ดวงใจที่เคยเอื้ออาทร กลายเป็น เห็นแก่ตัว

หรือความเอื้อเฟื้อจะหายไปจากสังคมของเราจริงๆ ในยุคของเรา เป็นเรื่องที่เราเศร้าใจไม่น้อย..ถ้าจริง


ก่อนหน้านี้ไม่นานหลายคนยังจดจำคนไทยแสนจะใจดีมีน้ำใจได้ คนแข็งแรงให้เกียรติคนที่อ่อนแอกว่า คนมีเงินสิ่งของมากเจือจานคนที่มีน้อยกว่า ทุกๆคนมีการแบ่งบันจนเกิดสิ่งมหัศจรรย์ทางสังคมมากมาย ทุกวันนี้แค่จะหาน้ำใจจากชายไทยบนรถโดยสารสาธารณะต่อ สุภาพสตรี เด็ก และคนชรา ก็ยากเต็มที


หากจะว่าไปแล้ว"ความเอื้อเฟื้อ" ที่คนไทยมีมาแต่บรรพบุรุษ เมื่อมาประสมประสานตามคำสอนของศาสนาต่างๆทำให้เกิดสังคมที่เข้มแข็งมากขึ้น หากจะยกตัวอย่างคำสอนของศาสนา เช่นพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมความเอื้อเฟื้อของคนไทยมากเช่นกัน "คำว่าเอื้อเฟื้อ" เมื่อนำไปเทียบเคียงกับคำสอนของพุทธศาสนาจะมีอยู่หลากหลาย ในที่นี้จะยกตัวอย่าง คือหลักธรรมว่า"คารวธรรม 6" คำว่า คารวะ บางท่านอาจจะนำไปผูกกับบทพากภาพยนต์จีนกำลังภายในที่มักจะมีคำพูดว่า"ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก" ก็คล้ายๆอย่างนั้น เพราะคำว่า"คารวะ" ก็มีความหมายว่า "เคารพ" ก็ได้หรือ "ให้เกียรติ" หรือก็คือ "ความเอื้อเฟื้อ" ที่สังคมของมนุษย์ควรมีต่อกัน 6 ประการคือ


1.สัตถุคารวตา(Reverence for The Master) คือการให้ความเคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อผู้รู้ ศาสดา ผู้สอน นักปราชญ์ ราชบัณฑิต หรือผู้มีความสามารถ

2. ธัมมคารวตา(Reverence for The Dhamma) คือการให้ความเคารพ เอื้อเฟื้อ หรือให้เกียรติ ต่อความถูกต้อง ความเป็นธรรม หลักธรรม (การให้ขั้นเงินเดือน)

3. สังฆคารวตา (Reverence for The Order) คือการให้ความเคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อกลุ่มคณะ พระสงฆ์ ชุมชน หรือสังคม

4. สิกขาคารตา(Reverence for The Training) คือการให้ความเคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อการฝึกฝนตนเอง วิชาความรู้(ถูกต้อง) คำสอน อาชีพ การศึกษาหาความรู้
5. อัปปมาทคารวตา(Reverence for Carnestness) เคารพ หรือเอื้อเฟื้อ ให้เกียรติ ต่อการควบคุมสติ ไม่ประมาท การรู้จักรับผิดชอบ

6. ปฏิสันถารคารวตา(Reverence for Hospitality) การเคารพ เอื้อเฟื้อ ให้เกียรติต่อการต้อนรับแขก การทักทายปราศรัย ซึ่งอาจจะมีการต้อนรับด้วยอามิสสิ่งของ เช่น อาหารหวานคาว ของฝากของที่ระลึก หากเป้นการต้อนรับแบบหลักธรรม เช่น การแนะนำตามหลักวิชาการ การมอบความรู้ การศึกกษาดูงาน การแสดงองค์ความรู้(KM) หรือการทำหน้าที่ต้อนรับแขกตามความเหมาะสม


หลักความเอื้อเฟื้อทั้ง 6 ประการนี้(คารวธรรม)พิจารณาดีๆแล้วไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเกินเลยกว่าที่สังคมไทยประพฤติปฏิบัติต่อกัน ดังนั้นหากผู้ใหญ่มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้น้อย ผู้น้อยก็เอื้อเฟื้อต่อผู้ใหญ่ มิตรสหายก็เอื้อเฟื้อต่อกันและกัน สังคมที่มีความเอื้อเฟื้อของไทยก็จะยังไม่หายไปใหน....เว้นแต่


การเลือกที่จะเอื้อเฟื้อเฉพาะคนที่เห็นว่าให้ประโยชน์กับคุณได้อย่างเดียว..คำว่าเอื้อเฟื้อ จะกลายเป็น ชะเลีย..เท่านั้นเอง เอวัง

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฉลองอายุวัฒนมงคล 99 ปี พระมงคลนนทวุฒิ


ฉลองอายุวัฒนมงคล 99 ปี
พระมงคลนนทวุฒิ(หลวงปู่เก๋)
วัดปากน้ำ นนทบรี
พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณพระมงคลนนทวุฒิ หรือหลวงปุ่เก๋ ถาวโร(โพธิ์จั่น) เกิดวันที่ 20 มิถุนายน 2455 เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำนนทบุรี รูปที่ 7 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 ถึงปัจจุบัน (วัดปากน้ำเริ่มก่อตั้งปี พ.ศ.2125)
พระมงคลนนทวุฒิ มีนามเดิมว่าเก๋ โพธิ์จั่น อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2475 ที่วัดโตนด บางกร่าง จังหวัดนนทบุรี ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติ และปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นพระนักพัฒนา ต่อมาได้ย้ายมาเป้นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำได้ทำนุบำรุงศาสนาด้วยการสั่งสอนหลักธรรมให้กับญาติโยม พัฒนาวัดปากน้ำ ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนด้วยการมอบทุนการศึกษาจำนวนมาก ปัจจุบันแม้ว่าพระเดชพระคุณท่านจะมีอายุมากแล้วแต่ท่านยังคงปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติ
วัดปากน้ำเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดนนทบุรีและอยู่ใกล้เขตกรุงเทพมหานคร และที่สำคัญก็คือใกล้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ตั้งแต่อดีตกระทั้งถึงปัจจุบันบุคลากรของมหาวิทยาลัยได้รู้จักมักคุ้นกับวัดปากน้ำเป็นอย่างดีในการเข้าไปทำกิจกรรมทางศาสนา หรือรู้จักในฐานะหลวงปู่ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ดังท่านหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี
ในโอกาสที่จะมีการฉลองอายุวัฒนมงคล 99 ปี ของหลวงปู่ ขอเรียนเชิญท่านพุทธศาสนิกชนร่วมกันแสดงมุทิตาต่อท่านด้วยการเข้าวัดฟังมงคลธรรมเพื่อนำไปประพฤติปฎิบัติให้เกิดเป็นคงคลชีวิตของเราสืบไป (สำหรับท่านที่ไม่เคยไปที่วัดหรือไม่แน่ใจว่าจะพบหลวงปู่หรือไม่สามารถสอบถามได้ที่ คุณเดชาชัย โทร.0818599390)

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โลกแตกพินาศและเกิดใหม่

ฉันไม่กลัวโลกแตก

พระพุทธเจ้าตรัสถึงการเกิดขึ้นและการแตกทำลายพินาศไปของโลกมนูษย์ตลอดถึงการเกิดขึ้นของมนุษย์การเจริญขึ้นของสังคมมนุษย์ไว้ใน อัคคัญญสูตร ไว้อย่างน่าคิดในที่นี่จะขอเล่าเรื่องในพระสูตรนี้ไว้พอเป็นแนวคิดโดยสังเขป (เนื้อความทั้งหมดสามารถหาอ่านได้ในอัคคัญญสูตรครับ)



พระพุทธองค์ตรัสว่าโลกใช้เวลานานมากก่อนที่จะแตกทำลายไปตามหลัก อนิจจัง และมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เกิดเป็นอาภัสรพรหม มีปิติ เป็นอาหาร และก้อีกนั่นและเป็นเวลาช้านาน กว่าโลกจะเย็นลงมีน้ำเมื่อน้ำแห้งก็เกิดง้วนดิน มีกลิ่นหอมมาก พวกมนุษย์ที่ไปเกิดเป็นอาภัสสรพรหมเมื่อได้กลิ่นก็เกิดอาการสงสัยและอยากกิน เมื่อกินเข้าไปแล้วแสงสว่างที่เกิดในตัวและที่เหาะเหิรเดินอากาศได้ก็เป็นอันต้องมานั่งกินง้วนดินอันแสนอะหร่อยด้วยกัน ต่อมาง้วนดินหายไปเกิดเป็นกระบิดินเหมือนดอกเห็ดขึ้นแทนเมื่อกระบิดินหายไปก็เกิดข้าวสาลีขึ้นแทนตามธรรมชาติไม่มีใครปลูกเมื่อพวกอาภัสสรพรหมซึ่งกินง้วนดินเข้าไปจนกลายเป็นมนุษย์ก็มากินข้าวสาลีแทน พอกินข้าวสาลีเข้าไปเกิดเพศชายเพศหญิงขึ้นมาทันที และต่อมาก็เกิดความกำหนัดระหว่างเพศขึ้นจนได้เสียเป็นเมียผัว ปลูกบ้านปลูกเรือน เกิดกิเลส ความโลภ เอารัดเอาเปรียบกันเกิดขึ้น จนนำไปสู่การหาผู้นำหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ และเจริญรุ่งเรืองแบบปัจจุบัน


เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วจะไม่ต้องกลัว หรือไปกังวลเรื่องโลกจะแตกหรือไม่แตก เพราะถ้าแตกจริงอย่างน้อยเราก็ได้เป็นอาภัสสรพรหมละท่าน เป็นแล้วจะรีบเหาะเหิรเดินให้ทั่วจักรวาลกันบ้างละท่านเอ่ย ไม่ง้องอนเจ้าพวกนาซ่า อีกต่อไปแล้ว สาธุ
















วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

การเอาชนะศัตรู(มาร)ตามแบบชัยมงคลคาถา












การชนะศัตรู(มาร)ตามแบบชัยมงคลคาถา

บทสวดชัยมงคลคาถาเป็นบทสวดที่คุ้นหูกับพวกเราชาวพุทธที่ได้รับฟังพระสวดบ่อยมากมาก บทนี้จะขึ้นต้นการสวดว่า พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ฯลฯ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีท่านเรียกว่า "บทพาหุง มหากา" และชักชวนให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนนำไปสวดเป็นประจำเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง
จริงแล้วการสวดมนต์ก็เป็นการทำจิตใจให้มีพลังอำนาจ หรือพลังจิต "มนต์" เป็นภาษาบาลีมาจากคำว่า "มันตะ" แปลว่าปรึกษา หรือ ตรึกตรอง ใช้ในคามหมายของการใช้ความคิด คือเป็นหน้าที่ของจิตนั่นเองสำหรับมนต์ในพระพุทธศาสนาสามารถตีความขยายไว้เป็น 5 ประการคือ
  • 1. มนต์เป้นคำสำหรับสวดเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิื
    2. มนต์เป็นคำสวดที่ระลึกถึงพระรัตนตรัย
    3. มนต์เป็นเครื่องสร้างกำลังใจหรือทำใจให้เข้มแข็ง
    4. มนต์เป็นความขลังที่น่าประทับใจและมีเสน่ห์
    5. มนต์เป็นเครื่องเตือนสติไม่เกิดความประมาท
การที่บุคคลใดสาธยายมนต์เป็นประจำสม่ำเสมอสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ เนื่องจากบทสวดในพระคาถาต่างๆ ของมนต์มีอัขระมากมายที่มีฐานการเกิดขึ้นของเสี่ยงที่แตกต่างกัน เช่น เสียงบางตัวเกิดจากท้องบ้าง เกิดที่อกบ้าง เกิดที่ลำคอบ้าง เกิดที่นาสิก(จมูก)บ้าง หรือเกิดที่ลิ้นบ้าง ฐานการเกิดของเสียงเหล่านี้จะเป็นระบบสั่น (Vibrations) กระตุ้นอวัยวะภายในให้แข็งแรงทำงานเป็นปกติ
หรือบางรายก็สามารถทำให้เกิดสมาธิที่คนทั่วไปจะเห็นว่าผู้ปฏิบัติธรรมบางท่านมีลูกประคำเพื่อสวดและนับประคำไปด้วยซึ่งเป้นอุปกรณ์ช่วยให้เกิดสมธิเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังสามรถในการบำบัดโรคทางจิตได้ดีด้วยเนื่องจากโรคทางจิตมีพื้นฐานมาจากความอ่อนแอของจิตส่วนบุคคลดังนั้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตจึงเป็นการแก้ไขที่ดี จึงมีคำกล่าวกันว่า "โรคทางกายรักษาด้วยยา โรคทางใจหรือจิตต้องบำบัดด้วยธรรมะ"
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นคือการบรรยายสรพพคุณของการสาธยายมนต์ หรือพูดแบบชาวบ้านว่าสวดมนต์ แต่ในจุดมุ่งหมายในที่นี้จะกล่าวถึงเนื้อหา ของบทสวด "ชัยมงคลคาถา" หรือหลักธรรม ที่จะนำไปปฏิบัติเพื่อเอาชนะศรัตรู หรือมารของเรา ตามแนวทางของชัยมงคลคาถา หรือคาถาที่ทำให้เกิดชัยชนะ และชัยชนะในที่นี้เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องทำร้ายศรัตรู ไม่ใช้อาวุธ เป็นการเอาชนะด้วยธรรม วิธีการเอาชนะมารในบทสวดชัยมงคลคาถามีดังนี้

พระคาถาแรกที่เริ่มสวด พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ฯลฯ แปลความได้ว่าด้วยอานุภาพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ได้ทรงชนะพญามารที่เนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างพลายคีรีเมขล์พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องกึกก้อง ด้วยธรรมวิธีมีทานบารมีเป็นต้น พระคาถานีนั่นคือพระองค์ชนะศรัตรูที่เข้มแข็งมีมือเท้าตั้งเป็นพัน มีบริวารอีกมากมาย บารมีของท่านที่ทำมาก็คือ ทาน จะเป็น ทานพวกสิ่งของ หรือธรรมทาน หรือ อภัยทาน เป็นต้นนั้นกลายเป็นเกราะกำบังภัยให้ทรงชนะได้ ส่วนบารมีที่พระองค์ทำไว้ในอดีตก็มีมากหรือหากจะดูสั้นที่สุดก็คือ บารมี 10 ปรการ(ทศบารมี) ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตย์บำเพ็ยบารมี 10 ชาติ คือ พระเตมีย์ บำเพ็ญเนกขัมมะบารมี พระมหาชนก บำเพ็ญวิริยะบารมี พระสุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี พระเนมิราชบำเพ็ญอธิษฐานบารมี พระมโหสถบำเพ็ญปัญญาบารมี พระวิฑูรบำเพ็ญศีลบารมี พระจันทกุมารบำเพ็ญขันติบารมี พระนารท บำเพ็ญอุเบกขาบารมี พระวิธุระบำเพ็ญสัจจะบารมี และพระเวชสันดรบำเพ็ญทานบารมี เราสามารถย่อคำเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำหรือนำไปท่องบ่นได้ว่า เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว

พระคาถาที่สอง มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง ฯลฯ แปลได้ความว่าด้วยเดชพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงเอาชนะ อาฬวกะยักษ์ ผู้ดุร้าย มีจิตกระด้างลำพอง หยาบช้ายิ่งกว่าพญามารเข้ามารุกรานตลอดรุ่งราตรี ด้วยขันติธรรม พระคาถานี้นี้ก็จะเห็นว่าบางครั้งการเอาชนะคนที่มีจิตใจชั่วร้ายเข้ามารุกรานเราด้วยการใช้ขันติตามแบบที่พระพุทธเจ้าใช้มาแล้ว

พระคาถาที่สาม นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ฯลฯ แปลความได้ว่าด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงชนะ พญาช้างนาฬาคีรี ซึ่งกำลังเมามัน ร้ายแรงเหมือนไฟป่า ลุกลาม ร้องโกญจนาทเหมือนฟ้าฟาด ด้วยวิธีรดด้วยน้ำคือ เมตตาธรรม พระคาถานี่ก็เป็นวิธีเอาชนะความโกรธ พยาบาท อาฆาตที่รุนแรงด้วยสิ่งที่เยือกเย็ยยิ่งกว่าก็คือ การใช้เมตตาธรรม เพราะเมตตาธรรมเป้นสิ่งที่คำจุนสังคม(โลก)ไว้ได้

พระคาถาที่สี่ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ฯลฯ แปลความได้ว่าด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ชนะ องคุมาลโจร ผู้ทารุณร้ายกาจนัก ทั้งฝีมือก็เยี่ยมควงดาบไล่ตามพระพุทธเจ้าระยะทาง 3 โยชน์ ด้วยอิทธิปาฏิหารย์ บางทีการเอาชนะคนที่ไม่ยอมรับฟังหรือมีความเชื่อมั่นอย่างไม่ใครเลยก็ต้องใช้ฤทธิ์(อำนาจ) ที่มีอยู่ให้เขารู้สึกสำนึกตัวจึงจะใช้หลักธรรมอื่นๆ ได้ดี

พระคาถาที่ห้า กัตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา ฯลฯ แปลโดยความว่า ด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผุ้เป้นจอมมุนี ได้ทรงชนะ นางจิญจะมาณะวิกา ที่ทำมารยาเสแสร้ง กล่าวโทษพระองค์ โดยผูกท่อนไม้กลมเข้ากับท้องทำเป็นท้องแก่มีครรภ์ ด้วยสมธิวิธี พระคาถานี้ ได้แสดงให้เห็นว่าหากคิดว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงต้องมีความสงบตั้งมั่นที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่จริง โดยไม่สะทกสะท้อน หรือที่เรียกว่าเอาความสงบสะยบความวุ่นวาย

พระคาถาที่หก สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง ฯลฯ แปลโดยความว่าด้วยเดชของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยประทีปคือปัญญาได้พบทาบชนะ สัจจะนิครนถ์ ผู้มีนิสัยตะลบแะแลง มีสันดานโอ้อวด มืดมน ด้วยเทศนาญาณวิธี พระคาถานี้แสดงให้เห็นว่าคนมีความรู้บางคนชอบโอ้อวด ทั้งที่อาจไม่รู้จริงก็ได้คนพวกนี้ผุ้ที่ต้องควบคุมต้องใช้ความรู้ในการสั่งสอนเพื่อปราบพยศ


พระคาถาที่เจ็ด นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ฯลฯ แปลโดยความว่าด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้าผู้เป้นจอมมุนีโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระ นิรมิตกายเป็นนาคราชไปทรมาน นันโทปะนันทะ
นาคราช
ผู้มีฤทธิ์มากแต่มีความรู้ผิดด้วยวิธีอุปเทศแห่งฤทธิ์ พระคาถานี้แสดงว่าการสอนของพระองค์บางก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง และรู้จักใช้บุคคลที่เหมาะสมกับงาน



พระคาถาที่แปด ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง ฯลฯ แปลโดยความว่าด้วยเดชแพ่งพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนีได้ทรงชนะท้าว พกาหรหม ผู้มีฤทธิ์สำคัญตนว่ามีฤทธิ์รุงเรือง รุ่งเรืองด้วยวิสุทธิคุณ ถือมั่นในมิจฉาทิฏฐิเหมือนดังถูกงูร้ายรัดรึงไว้แน่น ด้วยวิธีประทานยาพิเศษคือเทศนาญาณ พระคาถานี้ก็จะเห็นอีกว่าคนที่มีความรู้แล้วสำคัญตนผิดไปต้องใช้ความรู้ที่มากกว่า ใช้ความบริสุทธิ์ที่มากกว่า ใช้ความดีที่เหนือกว่าจึงจะเอาชนะทิฏฐิของคนบางคนได้

ส่วนพระคาถาที่เก้าเป็นการสนับสนุนว่าคนใดก็ตามได้ท่องบ่นภาวนาพระคาถาทั้งแปดข้าต้นและนำไปปฏิบัติจะทำให้ปราสจากภัยอันตรายใดๆทั้งหลายได้
จากพุทธวิธีเอาชนะมารของพระพุทธเจ้าที่ได้ผูกเป้นพระคาถาไว้ให้บุคคลทั่วไปได้ท่องบ่นภาวนาแล้วเนื้อธรรมในพระคาถายังเป็นแนวทาง เป็นวิธีการที่ให้เรานำไปใช้ในชีวิตประจำวันทั้งส่วนตัว หรือการบริหารงาน บริหารคนได้ ส่วนรายละเอียดของเรื่องผู้สนใจควรค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้ได้อรรถรส ของเรื่องและธรรม หรือพุทธจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

อ้างอิง
1. ธ.สวัสดิ์นะที นิทานประกอบภาพชุดพระเจ้าสิบชาติ โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด 2543
2. พระมหาสิงห์ทน นราสโภ(คำซาว) พลังรังษีธรรม โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด 2543
3. พระครูอรุณ เขมรังษี มนต์พิธีแปล โรงพิมพ์อักษรสมัย(1999)
4. พิสิฏ เจริญสุข หนังสือสวดมนต์แปล โรงพิมพ์กรมการศาสนา 2545